19 ก.ค. 2555

ขาด Facebook ขาดใจ จริงหรือ


ได้อ่านบทความของคุณพิศณุ นิลกลัด ใน คลุกวงใน บอกว่า "ขาด Facebook...
ขาดใจ"  ในมติชนสุดสัปดาห์ว่า 
โลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคไอทีอย่างสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ไปแล้วครับ

ผมเองเดี๋ยวนี้ติดต่อเจรจากับลูกค้าตกลงรับงานเสร็จสรรพเรียบร้อยโดยต่างฝ่าย
ต่างไม่ต้องนั่งคุยกัน ไม่เสียเวลาเดินทางไปประชุมทั้งเขาทั้งเรา ประหยัดเวลา 
ประหยัดน้ำมันไปได้เยอะ

ข้อมูล ข่าวสารในการพากย์ การเขียน บทความ หรือการจัดทำรายการในทีวี 
ผมไม่ต้องอาศัยทีมค้นคว้ามากมายเหมือนเก่า อยากรู้อะไรก็ค้นหาในกูเกิล 
ยูทูป ส่งอีเมลถามผู้รู้

เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของคนในโลกนี้ในเกือบทุก
ระดับชั้นไปแล้ว

หากเรารู้จักใช้ในทางที่ถูกที่ควรและเหมาะสม ประโยชน์ของเทคโนโลยีจะมีมากมายมหาศาล

แต่หากใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร จะส่งผลเสียต่อบุคคลและสังคมอย่างที่ปรากฏ
เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ให้เห็นเกือบทุกวัน

ผู้ปกครองที่มีลูกหลานอยู่ในวัยเด็ก วัยรุ่น ควรดูแลการใช้คอมพิวเตอร์ให้ใกล้ชิด
และมีกฎเกณฑ์การใช้ที่เหมาะสม

ในเด็กซึ่งเป็นวัยที่ต้องเรียนรู้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในทุกด้านเพื่อเป็นผู้ใหญ่
ที่มีคุณภาพในอนาคต ปรากฏว่ามีไม่น้อยที่มีคอมพิวเตอร์เป็นเพื่อนสนิทที่สุดเพียง
คนเดียว ทำให้ขาดทักษะขาดการเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

ในวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว รวมทั้งวัยผู้ใหญ่ คอมพิวเตอร์ทำให้หลายคนสร้างโลกสมมุติ
ที่ตัวเองต้องการ สามารถหลบหนีออกจากโลกแห่งความจริงที่ทำให้เป็นทุกข์

การเล่น Facebook หรือ Twitter เป็นการติดต่อสื่อสารอีกช่องทางหนึ่งที่มีความ
สำคัญมากสำหรับคนในสมัยนี้

คนจำนวนไม่น้อยบอกว่าจะไม่มีความสุขเลยหากไม่ได้เล่นทุกวัน!



จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแซลฟอร์ด ประเทศอังกฤษ พบว่าคนที่
เล่นเฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ หรือเว็บไซต์โซเชี่ยล มีเดียเป็นประจำจะรู้สึก
ทุกข์ใจ รู้สึกว่าชีวิตยังไม่เพียงพอ ยังมีสิ่งที่ตัวเองขาด

มหาวิทยาลัยทำการศึกษาคน 298 คน และได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจดังนี้ครับ

51% บอกว่าการเล่นเว็บโซเชี่ยล มีเดีย ทำให้พฤติกรรมของตัวเองเปลี่ยนแปลง
ในทางลบ คือมีความรู้สึกขาดความมั่นใจเพราะเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนๆ
 ออนไลน์คนอื่น

จำนวน 2 ใน 3 บอกว่าหลังจากเล่นเว็บโซเชี่ยล มีเดียแล้วนอนไม่หลับ จิตใจ
ไม่ผ่อนคลาย

กว่า 60% บอกวิธีเดียวที่จะหยุดพัก ไม่เล่นโซเชี่ยล มีเดีย คือต้องปิดเครื่อง
คอมพิวเตอร์ ปิดมือถือ ไม่อย่างนั้นอดใจไม่เล่นไม่ไหว

55% บอกรู้สึกกังวล ไม่สบายใจ เมื่อเข้าเว็บไซต์โซเชี่ยล มีเดียไม่ได้ หรือ
เช็กอีเมลไม่ได้

25% บอกเมื่อทะเลาะกับคนออนไลน์ ทำให้จิตใจไม่สบาย กระทบชีวิตส่วนตัว
และชีวิตการงาน

ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนเมษายน ก็มีการศึกษาจากยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ เยอร์เทย์บอร์รี่ 
ของสวีเดนเรื่องเฟซบุ๊กกับความสุข ความภูมิใจในตัวเอง (self-esteem) ซึ่งได้
ผลใกล้เคียงกันกับที่มหาวิทยาลัยแซลฟอร์ดทำการศึกษา โดยพบว่าคนที่ติด
เฟซบุ๊กมักมีความภูมิใจในตัวเองต่ำ

การศึกษานี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับเฟซบุ๊กที่ใหญ่ที่สุดในสวีเดน ทำการศึกษา
คน 1,011 คน (หญิง 676 คน ชาย 335 คน) มีอายุเฉลี่ย 32.6 ปี พบว่า...

84% เล่นเฟซบุ๊กเป็นกิจวัตรประจำวัน โดยเฉลี่ยวันละ 75.2 นาที

ยิ่งใช้เวลาเล่นเฟซบุ๊กนานเท่าไหร่ ความภูมิใจในตัวเองก็ยิ่งลดลง โดยเฉพา
ะอย่างยิ่งในผู้หญิง การที่คนจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองลดลงหรือทุกข์มากขึ้น
หลังเล่นเฟซบุ๊กหรือโซเชี่ยลมีเดียอื่นๆ นั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะคนเรามักจะโพสต์
เรื่องราวในทางบวกของตัวเองให้คนอื่นอ่าน ทำให้คนโพสต์รู้สึกดีว่าชีวิต
ตัวเองมีความสุข ทำให้คนอื่นอิจฉา ทั้งๆ ที่ชีวิตจริงไม่ได้มีความสุขตลอดเวลา
อย่างที่โพสต์



เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา  ที โมบายล์ (T-Mobile) ซึ่งให้บริการด้านโทรศัพท์
มือถือ ของสหราชอาณาจักรพบว่า

40% ของคนสหราชอาณาจักรที่ท่องเที่ยวพักผ่อน เข้าไปโพสต์ข้อความใน
เฟซบุ๊กของตัวเองทุกวันเพื่อให้เพื่อนฝูงทราบข่าวคราวไปเที่ยวที่ไหน กินอะไร
 สนุกอย่างไร

51% โพสต์รูปตัวเองในเฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ โดยเป็นรูปที่ถ่ายกับสถานที่สำคัญ
ในต่างประเทศเพื่อที่จะโชว์กับเพื่อนๆ

30% ตั้งใจเขียนโม้ว่าตัวเองเที่ยวสนุกสุดขีดเพื่อที่จะให้เพื่อนที่ไม่มีโอกาสได้ไป
เที่ยวไหนอิจฉา

60% ของคนที่เขียนบอกว่าตัวเองเที่ยวสนุกมากให้เหตุผลว่าในเมื่อตัวเองมี
ความสุขก็มีสิทธิ์ที่จะเขียนโชว์เรื่องของตัวได้ เพราะไม่ได้ไปละเมิดสิทธิ์ของใคร

50% ของคนที่เขียนโม้เกินจริงบอกเป็นเรื่องปกติเพราะใครๆ ก็ทำกันทั้งนั้น

40% ของจอมโม้บอกโพสต์เพราะต้องการให้คนอ่านหงุดหงิดและอิจฉา

15% ของคนที่เขียนเกินเลยบอกทำไปเพราะอยากให้แฟนเก่าอิจฉา และเสียดาย
ที่เลิกกะเรา

ในหมู่ของชาวสหราชอาณาจักร (ประกอบด้วย คนอังกฤษ คนสก๊อต คนไอร์แลนด์
เหนือ และคนเวลส์) พบว่าคนไอร์แลนด์เหนือชอบโม้ในเฟซบุ๊กมากที่สุดเวลา
ไปเที่ยวพักผ่อน ตัวเลขอยู่ที่ 70% ตามมาด้วยคนในกรุงลอนดอน และคนสก๊อต
65% เท่ากัน

โรบิน ริฮานน่า เฟนดี หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ริฮานน่า นักร้องผิวสีชื่อดัง
ก้องโลก และ วิกตอเรีย เบ็คแฮม ติดอันดับท็อป 5 ที่คนคิดว่าเป็นจอมโม้ตัวแม่
เพราะชอบโอ้อวด ชอบโชว์รูปตัวเองเวลาไปเที่ยวพักผ่อนตากอากาศตามที่ต่างๆ

การที่คนติดเล่น Facebook /Twitter หรือ โซเชี่ยล มีเดียอื่นๆ เดิมทีอาจเป็นคนที่ขาด
ความมั่นใจ ไร้สุขในชีวิตอยู่ก่อนแล้ว ไม่ชอบปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นแบบต้องเห็น
หน้าพูดคุยกัน จึงเลือกที่จะมีสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ทางสังคมออนไลน์แทน





      รู้สึกดีมากๆเลยที่ได้อ่านบทความนี้เพราะเราเป็นคนไม่ชอบเล่น Facebook
ขอเป็นคนตกเทรนด์ก็แล้วกัน และที่บางครั้งเป็นข่าวที่บอกว่าโจรมายกของในบ้าน
ไปเกือบหมด
ก็เพราะ  facebook/ twitter นี่แหละที่ทำให้โจรรู้ว่า ช่วงไหนเราจะ
ไม่อยู่บ้าน 
แล้วก็ไม่อยู่กี่วัน โจรจะได้วางแผนมายกเค้าบ้านเราได้ไง เราก็คงต้องทำใจ
เพราะเราอวด
เพื่อนทางออนไลน์ซะขนาดนั้นนี่นา  ก็ต้องมีโจรมีระดับที่เล่น facebook/
twitter
 บ้างล่ะน่า่.....

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ29 กรกฎาคม 2555 เวลา 23:55

    เพิ่งรู้ว่า พวกชอบอวดนี่ ก็เป็นพวกที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง
    ไม่ค่อยกล้าแสดงออก

    ตอบลบ