9 พ.ย. 2557

เราจะจัดบ้านอย่างไร ไม่ให้ “งู” เข้ามารบกวน

ในช่วงนี้จะพบว่ามีข่าว "" บุกบ้าน แล้วไปโผล่อยู่ตรงนั้นตรงนี้ บางตัวก็กัดทำร้ายผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน ฟังแบบนี้แล้วรู้สึกกังวลว่าในบ้านที่เราอยู่อาศัยทุกวันจะมี "งู" เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนด้วยหรือเปล่า ยิ่งช่วงนี้ฝนยังตกต่อเนื่อง สวนรอบบ้านเฉอะแฉะ มีหญ้าและต้นไม้ขึ้นรกครึ้มไปหมด ลองมาดูคำแนะนำเรื่องการจัดดูแลบ้านและพื้นที่โดยรอบไม่ให้งูเข้ามาอยู่ สมาชิกบ้านสนุก จะได้อยู่กันอย่างมีความสุขถ้วนหน้า


1.กำจัดแหล่งอาหารของงู ปกติงูมักจะเข้าไปภายในบ้านที่มีแหล่งอาหารของพวกมันอย่างหนู ดังนั้นเราควรดูแลบ้านไม่ให้มีสัตว์เหล่านี้ โดยควรดูแลบ้านให้สะอาดสะอ้าน ไม่รกรุงรังจนกลายเป็นที่อยู่ของหนู จัดเก็บทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทางหรือหากคุณเป็นคนชอบเลี้ยงสัตว์จำพวกนก ไก่ ก็ควรทำกรงที่อยู่ของพวกมันให้มิดชิด อุดรอยรั่วหรือช่องต่างๆ ที่งูจะสามารถเข้าไปได้

2.เจ้าตูบเพื่อนยาก คู่อริอีกตัวหนึ่งของ "งู" คือเจ้าตูบเพื่อนรักของเรา หากที่บ้านใครเลี้ยงหมา มันสามารถช่วยสอดส่องดูแล และป้องกันงูเข้าบ้านได้ในระดับหนึ่ง นอกจากสุนัขแล้วยังมี แมว ห่านและพังพอน ซึ่งเป็นศัตรูกับงู ดังนั้นหากอยากใช้วิธีเลี้ยงสัตว์ไว้ป้องกันงู เราขอแนะนำสัตว์เหล่านี้

3.จัดการพื้นที่บ้านไม่ให้งูอยากอยู่ อย่าทิ้งพื้นที่ให้รกซึ่งจะเป็นแหล่งให้งูสามารถหลบซ่อนได้ นอกจากนี้ยังต้องสำรวจว่าตามบ้านมีรู หรือช่องตรงไหน จากนั้นก็อุดรู ใส่ตะแกรงท่อระบายน้ำ หรือทุกเส้นทางที่จะเข้าไปในตัวบ้าน ( โดยเฉพาะโพรงใต้บ้าน กลบหลุมหรือโพรงที่มีตามสนามหรือขอบรั้ว กำแพง ตัดกิ่งไม้ที่พาดหรือใกล้ชายคาตัวบ้านหรือรั้ว กำแพงบ้านออกด้วย

4.ป้องกันงูเข้าบ้านด้วยสิ่งเหล่านี้ น้ำมันรถยนต์ ใช้ผ้าชุบน้ำมันรถ มาวางไว้รอบๆ บ้าน กลิ่นของน้ำมันรถยนต์จะทำให้งูไม่เข้ามารบกวน ใช้ผงกำมะถันผสมน้ำแล้วราดบริเวณรอบๆ บ้าน แต่วิธีนี้ต้องทำบ่อยๆ อย่างน้อยเดือนละครั้ง เพราะกำมะถันจะเจือจาง และแผ่นกันงู เอาไว้ป้องกันในแนวดิ่ง เช่นเสา กำแพง วัสดุมีความลื่นสูง งูจะไม่สามารถเลื้อยขึ้นไปได้




นอกจากจะจัดบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้งูมารบกวนแล้ว แต่ถ้าบังเอิญว่ามีงูเข้ามาและมีการเผชิญหน้ากันโดยตรง แล้วเราจะทำอย่างไร

1.สังเกตว่างูนั้นมีพิษหรือเปล่า วิธีสังเกตง่ายๆ คือหากหัวของงูมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมนั่นคืองูมีพิษ แต่ถ้าหัวกลมมนเป็นงูไม่มีพิษ ซึ่งบ้านเรามีอยู่ 2 พวกคืองูเหลือม งูหลาม กับ งูเห่า ซึ่งแยกจากกันค่อนข้างชัดเจน โดยงูเหลือมงูหลามเป็นงูไม่มีพิษแต่มีอันตรายโดยการรัดเหยื่อ ส่วนงูเห่ามีแม่เบี้ยแผ่ให้เห็นชัดเจน ทำร้ายโดยการกัดและปล่อยพิษ ฉะนั้นการหลบหลีก หรือจับก็จะแตกต่างกัน และต้องได้รับการฝึกฝนเป็นการเฉพาะ

2.เจองูแล้วไม่ควรไล่ เพราะถึงไล่ไปมันก็จะกลับมาอีก รวมทั้งถ้าเจอมันแล้วให้อยู่นิ่งๆ แล้วค่อยๆ ถอยตัวหนีออกมาอย่างช้าๆ และควรอยู่ในระยะที่ปลอดภัย

กันสมาชิกในบ้านให้อยู่ห่างมันไว้ สังเกตการเคลื่อนที่ของมันว่ามันไปทิศทางใด จากนั้นกันสมาชิกในบ้านให้อยู่ห่างจากมัน และเราไม่ควรเสี่ยงเข้าไปจับงูด้วยตนเอง เพราะไม่มีความชำนาญ แต่เราควรโทรศัพท์แจ้งขอความช่วยเหลือ องค์การสวนสัตว์ โทร. 02 282 7111 ต่อ 3 หรือ 191
ก็ฝากทุกคนดูแลรอบบริเวณบ้านให้ดี อย่าให้รกรุงรัง เป็นที่อยู่ของหนู แมลง รวมไปถึงงูด้วย

Cr.
http://www.matichon.co.th/



6 พ.ย. 2557

พลังของคำ(พูด)สามารถเปลี่ยนโลก(ของบางคน)ได้ จริงหรือ

วันนี้ดูคลิปของAndrea Gardner เรื่อง The Power of Words ดูตอนแรกๆก็ OK เข้าใจนะ
คนตาบอดขอทาน ก็เหมือนบ้านเรา 




ข้างๆคนตาบอดมีป้ายเขียนไว้ด้วยว่า  "โปรดช่วยคนตาบอดด้วยครับ" 




มีคนเดินผ่านไปผ่านมามากมาย นานๆทีก็มีคนโยนเหรียญให้ซักเหรียญ



แล้วหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมา แล้วก็มาเขียนข้อความลงด้านหลังของป้าย
แล้ววางไว้ที่เดิมและเดินจากไป




ผลที่เกิดขึ้น มีคนหลายคนมาโยนเศษเงินให้กับชายตาบอดคนนี้





แล้วข้อความที่เธอเขียนคืออะไร แล้วทำไมทำให้คนมากมายมาบริจาคเงินให้
ชายตาบอดคนนี้ขอความที่เธอเขียนก็คือ "วันนี้อากาศดีจัง  ช่างเป็นวันที่สวยงาม
แต่ผมมองไม่เห็นมัน"






ใช่เลย...พอเราเห็นข้อความนี้ เรารู้สึกโลกสวยขึ้นมาทันที  รู้สึกสงสาร อยากช่วยเหลือ
ขึ้นมาทันที ไม่ทราบคุณรู้สึกเหมือนฉัน หรือเปล่า  ช่างน่าประหลาดใจจริงๆกับพลังของ
คำพูดหรือข้อความ ยอมรับว่า คำพูดสามารถเปลี่ยนโลก(ของบางคน)ได้จริงๆ  



คุณเคยรู้สึกมั้ย ว่าคนบางคนพูดเล่าเรื่องของตัวเองที่ลำบาก เรื่องที่น่าสงสารที่เกิด
ในชีวิต
ของเขาให้เราฟัง  เราฟังแล้วฟังแล้วไม่รู้สึกสงสารหรือเห็นใจเลย บางครั้งยังนึก
สมน้ำหน้าด้วย 
อะไรทำนองนั้นไปเลย  ผิดกับบางคนพูดแล้วเราสงสารอยากช่วยเหลือมาก
ทำไมทำไม  
บางครั้งถ้าเรานึกย้อนดูดีๆ จะพบว่า มันเป็นเพราะ.....คำพูดที่เขาพูดออกมา
นั่นเอง หรือ
อาจจะเป็นวิธีการใช้คำ ของเขานั่นเอง ที่ส่งผลกับผู้ฟังหรือผู้อ่าน




ดูคลิปฉบับเต็ม



 ภาพจาก http://www.youtube.com/