15 พ.ค. 2557

รีวิว หัวฝักบัวอาบน้ำแรงดันสูง Review Softrong shower Head

วันนี้ยอมตกเป็นเหยื่อของโฆษณาสินค้าทางทีวีอีกครั้ง คือที่บ้านใช้น้ำปะปา
แล้วเซ็งมากกับน้ำที่ไหลแบบฉี่แมว จะเปรียบเทียบกับของน้องหมาก็ดูแล้ว
มันฉี่แรงกว่าน้ำปะปาอีกนะ
                                                                              ภาพสายน้ำจากหัวฝักบัวเก่าที่ใช้อยู่

คือเห็นโฆษณาSoftrong ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นหัวฝักบัวที่มีแรงดันน้ำสูงกว่า
หัวฝักบัวธรรมดา  และมีความเป็นฝอยมากกว่า แล้วเขาก็มีการทดลองให้ดู
ให้เห็นความแรงของฝอยน้ำที่ออกมา  จริงๆแล้วก็ดูโฆษณานี้มาหลาย
สิบรอบแล้วละ แต่ไม่ซื้อเพราะยังทนได้กับน้ำปะปาที่บ้าน

              ภาพกล่องท่ีแสดงความแรงของสายน้ำ
                                                                       ภาพแสดงรูปหัวของฝัหบัวที่อยู่ในกล่อง

             ภาพแสดงหัวฝักบัวจริงที่บรรจุในกล่อง

 ภาพแสดงหัวฝักบัวจริงที่เอาออกมาจากถุงพลาสติกที่บรรจุ

แต่ตอนนี้หมดความอดทนแล้วละ เลยยอมตัดใจเสียเงิน(ก็มันแพงกว่า
ไอ้ที่ใช้อยู่เป็นเป็นเกือบ2 เท่า)  ได้มา 2  อัน  เฉพาะหัวฝักบัวนะ
อย่าหวัง ไม่มีสายแถมมาหรอก ก็โทรไปพนักงานรับสาย เขาก็ดีจะอธิบาย
รายละเอียดและวิธีการใช้ต่างๆให้ฟัง  อยากรู้อะไรก็ถามไป แล้วอีก 2 วันต่อมา
พนักงานก็มาส่งของให้ และจ่ายเงินตอนรับของ ไม่มีค่าส่งเพิ่มนะ
                                              ภาพแสดงสายน้ำที่พุ่งออกมาแรงหลังจากเปลียนเป็นหัวฝักบัวSoftrong

พอได้ของก็จัดการทดลองเลย ถอดหัวฝักบัวเดิมออก เอาหัวใหม่ใส่เข้าไปแทน
ใส่ง่ายมาก ทำเองได้ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากคุณผู้ชายเลย (แจ๋วทำเองได้ค่ะ)
พอเปลี่ยนเสร็จก็ลองเปิดน้ำดู อะ...น้ำพุ่งแรงใช้ได้ ลองเอามือรองน้ำดูว่าพุ่งแรงแบบนี้
จะทำให้รู้สึกถึงความแรงของน้ำแค่ไหน  ปรากฏว่าสายน้ำเป็นฝอยละเอียดมาก
จนไม่รู้สึกถึงสายน้ำแต่ละสายเลย เป็นเหมือนเสปรย์น้ำมากว่าจะเป็นสายน้ำ

หมายเหตุ อิฉันเปิดน้ำแรงสุดแล้วทั้ง 2 ภาพฝักบัวกับสายน้ำนะ  เดี๋ยวจะหาว่า
                   อิฉันสร้างภาพ  ส่วนภาพสายน้ำที่ออกมาก็ช่วยเล็งๆดูหน่อยก็แล้วกันนะ
                   เพราะมันดูยากมากเลยน่ะ


สรุป  ถ้าดูจากสายน้ำที่ออกมา แรงดีแล้วก็ไม่รู้สึกถึงความแรงของสายน้ำที่พุ่งเข้าใส่ผิว
         ก็น่าจะคุ้มค่ากับเงินที่อิฉันเสียไปวันนี้นะ  และจะรอดูว่าจะใช้ได้สักกี่วันแล้วจะหมด
        ระยะโปรโมชั่น แล้วอิฉันจะกลับมารายงานผลนะคะ

รายละเอียดสินค้า เป็นสินค้ามาจากประเทศเกาหลี  มี มอก.ด้วยนะ  หมายเลข
                             2066-2552 นำเข้าโดยบริษัท ชินแดอุนไทยจำกัด กทม.

คุณอาจจะเดินออกนอกประเทศไม่ได้ ถ้าหน้าตาคุณกับในpassport มันไม่เหมือนกัน



หลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์อันชวนสงสัยว่า คุณพก passport ปลอมหรือคุณขโมย
ของคนอื่นมาแล้วคุณก็ถูกจับน่ะซี ตอนคุณจะเดินทางออกนอกประเทศหรือ
คุณเดินๆอยู่แล้วถูกตรวจสอบเอกสาร เรื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยเรานี่เอง



เสียงร่ำลืออันเรื่องชื่อของมวยไทยเราทำให้มีชาวต่างชาติเป็นร้อยๆราย นิยมเดินทาง
เข้ามาเรียนศิลปะแม่ไม้มวยไทยกัน ทั้งหญิงและชาย และเรื่องก็เกิดขึ้นเมื่อนายรอส
คอนเนอร์ นักมวยชาวอังกฤษ วัย 33 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของไทย
ปฎิเสธจะให้เดินทางกลับประเทศ ภายหลังพบว่า หน้าตาของเขาไม่ตรงกับภาพถ่าย
ในพาสปอร์ต หลังจากเขาได้เดินทางเข้ามาเมืองไทยเพื่อซ้อมมวยไทยใน
ค่ายมวยแห่งหนึ่ง จนน้ำหนักลดไปกว่า 50  กิโลกรัม




ส่งผลให้นายรอสถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของสนามบินไทยสอบปากคำ เนื่องจาก
คิดว่าอาจลักลอบเข้าเมืองอย่าง
ผิดกฎหมายหรือปลอมแปลงเอกสารเข้าเมืองเพราะหน้าตา
ไม่เหมือนกับรูปถ่ายในพาสสปอร์ต ขณะที่นายรอสพยายามอธิบายว่าหน้าตาและหุ่นของเขา
เปลี่ยนไปหลังเข้ามาฝึกมวยไทย
ในจังหวัดภูเก็ตเป็นเวลานานกว่า 12 เดือน

แต่ก็ยังโชคดีที่นายรอสได้แสดงหลักฐานภาพการฝึกมวยไทยจากในไอแพดของเขา เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสนามบินไทยเข้าใจ ทั้งนี้ นายรอส นั้นเคยมีน้ำหนักตัวกว่า 133 กิโลกรัม 

แต่ภายหลังเข้าค่ายมวยไทย สามารถลดน้ำหนักลงเหลือเพียง 82 กิโลกรัม

จะเห็นได้ว่าจากเรื่องนี้มันมีข้อดีและข้อเสียนะ ที่น้ำหนักหรือหน้าตาเปลี่ยนไป
เมื่อเราไปอยู่ต่างประเทศนะ

ข้อดีคือ1)น้ำหนักลดลง (มีหลายค่ายมวยโฆษณาว่า ชกมวยช่วยลดน้ำหนักได้ ถ้าเราเชื่อ
ค่ายมวยก็ได้เงิน มันก็เรื่องปกติมิใช่หรือ ออกกำลังกายทุกวัน น้ำหนักมันก็ต้องลดอยู่แล้วนี่นา)
                 2) หุ่นดีขึ้น ดูหล่อ ทำให้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น อันนี้คงถูกใจมาก
                 3) อาจได้งานทำ  ก็มีเงินตามมาด้วย
                 4) มี(หนุ่ม)สาวมาสนใจ


ข้อเสียคือ 1) คนรู้จักอาจจำเราไม่ได้ (คนรู้จักน้อยลง ทำให้ต้องเสียเวลาแนะนำตัว
                  เพิ่มขึ้น (ข้อนี้ไร้สาระ อาจรู้สึกสนุกด้วยซ้ำที่คนจำเราไม่ได้ 555)

                 2) เสียเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ แต่ถ้าแลกกับความหล่อที่สมาร์ทขึ้นก็รับได้นะ
                 3) อาจถูกจับกุมฐานปลอมแปลงเอกสาร(passport) ตอนเราต้องการเดินทาง
                     ออกนอกประเทศ ทั้งๆที่ความจริงเราไม่ได้ปลอมนะ ทำให้เราต้องเสีย
                    ทัั้งเวลาและเสียเงินด้วยละ (อาจตกเครื่องบินด้วย เซ็งอ่ะ) 


สรุป  ถ้าคุณหน้าตาเปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนใน Passport กรุณาหาหลักฐาน
หรือหนังสือรับรองจากสถาบันที่ทำให้หน้าตาหรือรูปร่างคุณมีการเปลี่ยนแปลง
เช่น สาวๆที่ชอบเดินทางไปเสริมความงามที่เกาหลี เมื่อก่อนก็มีปัญหาแบบ
นายรอสเหมือนกัน แต่ตอนหลังโรงพยาบาลหรือสถาบันเสริมความงามต้อง

ออกหนังสือรับรองให้ มิฉะนั้นสาวนางนั้นจะเดินทางออกจากเกาหลีไม่ได้ 555
     
          แปลว่า นายรอส  ไม่เคยอ่านข่าวเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมเสริมความงาม
ที่สาวๆเขาชอบไปทำที่เกาหลี  เลยไม่มีประสบการณ์ 5555

 
       ปล.  ฝากไปถึงค่ายมวยหรือสถาบันเสริมความงามที่ทำให้ลูกค้า
(ชาวต่างชาติ)ของคุณเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น (จนจำเค้าเดิมไม่ได้)
คุณก็ควรที่จะต้องมีภาพBefore และ after พร้อมเอกสารรับรองว่า
เขาคนนั้น(before)กับเขาคนนี้ (after) เป็นคนเดียวกันนะ เค้าจะได้
ไม่เดือดร้อนเมื่อได้รับการตรวจสอบ  เหมือนที่เกิดขึ้นกับนายรอส
คอนเนอร์  "กันไว้ดีกว่ามาแก้ทีหลังนะ มันเหนื่อย และก็เสียทั้งเวลา
เงินและ
ที่แก้ไม่ได้ก็เสียความรู้สึกนี่แหละ"

5 พ.ค. 2557

เรื่องของความอ้วน

ผู้ใหญ่มักจะบอกว่า


ตอนเด็กๆ เด็กต้องอ้วนถึงจะดูน่ารัก ก็จริงนะ ดูแข็งแรง น่ากอด ดูมีสุขภาพดี 


พอโตขึ้นมาหน่อย เอ๊ะ รู้สึกว่า จะตัวใหญ่ไปหน่อยนะ  กินน้อยๆหน่อย



เมื่อเริ่มวัยรุ่นก็พยายามจะให้ตัวเองดูดีขึ้น  หลายรูปแบบ ทั้งอดข้าวเป็นบางมื้อ
บางคนก็ออกกำลังกาย


บางคนก็ประสบความสำเร็จ  บางคนก็ได้น้ำหนักเพิ่มมาทวีคูณ
...................................................

จากประสบการณ์ตรงของเรา ตอนเด็กๆ เราตัวผอมมาก แม่ก็มักพยายามลุ้นให้กินมากๆ
แล้วก็ได้ผลตอนวัยรุ่น เราเริ่มอร่อยกับทุกอย่างที่กิน แต่ก็พยายามออกกำลังกาย
น้ำหนักที่จำได้ไม่เคยต่ำกว่า 50 กิโลกรัมนะ  แล้วก็ทะยานขึ้นตามอายุและเลยอายุไปมาก
ได้สถิติสูงสุดมา 70 กิโลกรัม พร้อมเบาหวาน ความดัน คอเลสเตอรอล  ไทรอยด์
แล้วก็โรคหัวใจหน่อยๆ   อ้อ..อีกอย่างชอบปวดหัวเป็นประจำ  แล้วก็เป็นภูมิแพ้อีกนิดหน่อย
แค่ประเภทแพ้ฝุ่น แพ้ฝุ่นกระดาษ แพ้ผงชูรส ฯลฯ   เท่านั้นเอง555  



การแต่งตัวเหรอ  ก็คนมันอ้วน เสื้อผ้าทุกตัวที่เคยมีหดหมด ใส่แล้วรัดติ้วไปหมด 
ตอนหลังเลยหันไปใส่เสื้อตัวหลวมๆแทน เน้นที่สีดำ พรางความอ้วน... คิดว่ามัน
อาจจะช่วยได้ ค่อนข้างหาเสื้อผ้าใส่ยากนะ

เวลาเห็นเสื้อผ้าที่แขวนขายสำหรับคนหุ่นธรรมดาแล้ว รู้สึกน้ำลายหก สวยจัง
อยากใส่  แต่....มันก็เป็นแค่ฝัน  ชาตินี้คงไม่มีโอกาสมั้ง???? เพราะพอผอมลงขีดนึง
ดีใจแทบตาย แต่เผลอ(กิน)นิดเดียว อ้วนขึ้นมาอีก 5 ขีด  งี้.... มันจะผอมลงได้ไง????



และทำงาน เวลาเครียดมากๆ ยิ่งหิวมาก กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม ทั้งๆที่ใจอยากผอม แต่ห้าม
ความหิวไม่ได้

หลังเลิกงาน หิวจนมือสั่น  มีเท่าไรกินหมด  พอกินอิ่ม ลุกแทบไม่ไหว
อยากหลับสักงีบ(ใจบอก) แล้วก็ตื่นมาอีกทีก็ประมาณ 4-5  ทุ่ม ต้องเตรียมงานต่อ
ชีวิตเป็นอย่างนี้มาหลายสิบปี มันไม่อ้วนให้รู้ไป
คนที่บ้านชวนไปเดินออกกำลังกาย คำตอบที่เขาได้รับมี 2 อย่างคือ เอาไว้พรุ่งนี้ก่อนนะ
(มันคงไม่มีโอกาสมาถึงแน่) และวันนี้เหนื่อยจัง  ขอเป็นพรุ่งนี้นะ  อ้าว... มันคำตอบเดิมนี่นา
จนตอนหลังไม่มีใครมาชวนแล้ว ทุกคนเบื่อฟังคำตอบ 


ตอนหลัง นั่งเล่นกับน้องหมาที่เลี้ยงไว้ ก้มแล้วรู้สึกหน้ามืด หายใจไม่ออก 
555  สมน้ำหน้า อยากเพิ่มน้ำหนักดีนัก  รอบเอวเป็นห่วงยางห่วงใหญ่(มาก)  


นอนกลางคืน เริ่มสะดุ้งตื่นตอนดึกกับเสียงกรนของตัวเอง 555 ใครเคยได้ยินเสียงกรน
ของตัวเองบ้าง (ยกมือขึ้น)  ตอนหลังเราเริ่มอารมณ์เสียง่ายขึ้น  เราไม่เชื่อหรอกว่า....
คนอ้วนแล้ว อารมณ์ดีนะ นอกจากหลอกตัวเองให้ดูอารมณ์ดี  ก็เราไม่มีจุดเด่นอะไรแล้วนี่
นอกจาก ยิ้ม หัวเราะ แล้วก็กินๆๆ 5555


เวลาเดินกับใคร เราก็เป็นจุดเด่นให้คนเค้ามอง แต่ดูสายตาแล้วไม่ใช่ชื่นชมนะ
จะเป็นแบบไหน คิดเอาเองก็แล้วกัน ไม่อยากพูดถึง  มัน...ขมขื่นสิ้นดีน่ะ 5555



........................................
เรื่องของคนอ้วนในประเทศไทยก็มีข่าวอยู่บ่อยๆเช่น

เร่งช่วยเหลือ สาวอ้วนน้ำหนัก 300 กิโลกรัม มีแผลกดทับ

http://www.nationtv.tv/main/content/social/378417845/

เชียงใหม่-นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่รุดตรวจเยี่ยม สาวโรคอ้วนน้ำหนัก 300 กิโลกรัม ฐานะยากจน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มีแผลกดทับ มารดาต้องเก็บขยะประทังชีวิต


เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 กรกฎาคม 2557 นางมนัญญา ประสาทบัณฑิตย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมครอบครัว ของนางสาวนกแก้ว แสนสมปาน อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 101/3 ถนนสุริยวงค์ ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่  ซึ่งมีสภาพร่างกายอ้วนผิดปกติ โดยมีน้ำหนักตัวสูงถึง 300 กิโลกรัม ทำให้ไม่สามารถลุกเดินหรือช่วยเหลือตัวเองได้ ขณะที่แม่วัยชราต้องเก็บขยะประทังชีวิตและดูแลลูกที่ป่วยสภาพน่าเวชนาอย่างมาก

นางสาวนกแก้ว แสนสมปาน กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนเป็นโรคอ้วนและได้เข้ารับการรักษาตัวมาโดยตลอด แต่เนื่องจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ตนได้เกิดอาการช๊อคอย่างเฉียบพลันและได้เดินทางไปรักษายังโรงพยาบาลจนอาการดีขึ้น จึงได้กลับมาพักฟื้นที่บ้าน จนกระทั่งต่อมาน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้การเดินทางไปรักษายังโรงพยาบาลเป็นไปด้วยความยากลำบาก จนกระทั่งตนไม่สามารถเดินและเข้าห้องน้ำเองได้ และทำให้เป็นแผลกดทับบริเวณก้นและหลังทำให้ทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก วัดน้ำหนักล่าสุดทะลุ 300 กิโลกรัม

ตอนนี้ชีวิตความเป็นอยู่ลำบากมากเพราะที่บ้านมีฐานะยากจน มารดาก็อายุมากแล้วต้องออกเก็บขยะและขวดพลาสติกขาย ตอนที่ป่วยอยู่โรงพยาบาลไก่ที่เลี้ยงไว้ที่บ้าน ก็ถูกคนขโมยไปยกเล้า บ้านที่พักก็มีสภาพทรุดโทรม บ้านสังกะสีสภาพผุพังพอฝนตกหนักน้ำจะรั่วไหลนองเต็มบ้าน ตอนนี้เครียดมาก ไม่รู้จะพึ่งใครจึงได้เรียกร้องผ่านสื่อมวลชน และวอนผู้ใจบุญให้การช่วยเหลือด้วย

ด้านนางมนัญญา ประสาทบัณฑิตย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าวว่า ตนรู้สึกเห็นใจครอบครัวของนางสาวนกแก้วเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งภายหลังที่ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมแล้ว ในเบื้องต้น ทางเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่ได้มอบเงินสด พร้อมข้าวของเครื่องใช้ให้กับนางสำเนียง แม่นางสาวนกแก้วเพื่อนำไปใช้จ่ายภายในครอบครัว และจะได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาให้การช่วยเหลือต่อไป

....................................
พบเด็กอ้วนวัย13ปี ที่พิษณุโลก หนัก120ก.ก.อยู่กับยาย กินอาหารทุก2ชั่วโมง 
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/life/20140801/596524

วันนี้ (1 ส.ค.) ปัญหาโรคอ้วนในเด็กและเยาวชนยังคงพบเห็นเป็นประจำเสมอ ล่าสุดผู้สื่อข่าว จ.พิษณุโลกรายงานว่า พบเด็กชายวัย 13 ปีคนหนึ่ง ชื่อด.ช.ภูมิมินทร์ จับแสงจันทร์หรือ น้องก้อง เป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังประสบปัญหาโรคอ้วนปัจจุบันมีน้ำหนักถึง 120 กิโลกรัม โดยน้องก้อง อาศัยอยู่กับนางวรรณา ศรีคำขลิบ อายุ 73 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 21/16 ถ.เอกาทศรฐ อ.เมือง จ.พิษณุโลก (ชุมชนวัดน้อย) ซึ่งเป็นยาย

ผู้สื่อข่าวเดินทางมาพบ นางวรรณา และด.ช.ภูมิมินทร์ ที่บ้านพัก พบว่า นางวรรณากำลังดูแลนั่งเล่นกับน้องก้อง ที่พื้นบ้าน วันนี้น้องก้องไม่ยอมสวมเสื้อผ้า บอกกับยายว่าขี้เกียจ จึงนั่งเล่นของเล่นกับยายในสภาพไม่สวมเสื้อผ้า โดยนางวรรณา เล่าว่า น้องก้อง เป็นลูกของนางอรวรรณ จับแสงจันทร์ บุตรสาวคนเล็กของตน ช่วงเกิดมาใหม่ ๆ ก็มีน้ำหนักมาก และมีปัญหาเรื่องสติปัญญา การพัฒนาการล่าช้า ปัจจุบันอาศัยอยู่กับตนที่บ้านพัก มีตนและบุตรสาวคนโตของตน หรือป้าของน้องก้องคอยช่วยเหลือดูแล ส่วนมารดาของน้องก้องทำงานที่กรุงเทพฯ บิดาน้องก้องเป็นครูอยู่ที่ต.ห้วยเฮี้ย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก

นางวรรณา กล่าวว่า น้องก้องเริ่มประสบปัญหาโรคอ้วนมาตั้งแต่เด็ก น้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะชอบกินอยู่ตลอดเวลา จะอ้อนขอของกินแทบทุกๆ 2 ชั่วโมง ก็ต้องให้ตลอด เคยพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลพุทธชินราช แพทย์ก็แนะนำให้คุมอาหาร บอกว่า มีปัญหาเรื่องระบบระสาท ต่อมความจำไม่ดี จึงลืมว่าได้กินไปแล้ว ทำให้อยากกินตลอดเวลา ก็ห้ามไม่ได้ แต่ก็พยายามควบคุมเรื่องอาหาร ส่วนปัญหาอื่นๆ ก็มีเรื่องการนอน มักจะมีปัญหาเรื่องระบบหายใจ นอนราบจะหายใจติดขัด ต้องนั่งตลอด การขับถ่าย บางครั้งก็ไม่สามารถควบคุมดูแลได้ แม้ว่าน้องก้องจะเดินได้ แต่มักจะเดินไปเข้าห้องน้ำไม่ทัน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาน้องก้อง เคยเข้าโรงเรียนพิเศษ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามพิษณุโลก แต่ปัจจุบัน ได้ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนพิษณุโลกปัญญานุกูล ต.มะขาม สูง อ.เมืองพิษณุโลก โดยลักษณะไปเช้าเย็นกลับ เนื่องจากน้องก้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จึงไม่ได้อยู่ประจำ มีบุตรสาวคนโตของตนไปรับไปส่ง ส่วนพ่อแม่ของน้องก้อง ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็จะมาพบน้องก้องที่บ้านพัก ก็อยากให้น้องก้องลดความอ้วนลง แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร 

........................................









เงินเงินเป็นสิ่งบันดาลความสุขทั้งมวลจริงหรือ


จาก ผู้รู้วาระสุุดท้ายของชีวิต ::
: ส่วนหนึ่งจากคำบรรยายของ Dr. Richard Teo
แพทย์ด้านความงามชื่อดังชาวสิงคโปร์ อายุ40 ปี
ซึ่งพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอด ระยะสุดท้าย
เขาได้มาเล่าประสบการณ์ชีวิต ให้ในชั้นเรียน
ของนักศึกษาทันตแพทย์ในวันที่ 19 มกราคม 2012
และเขาเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2012
ข้อคิดจากบทความนี้ จะเป็นบุญกุศลแก่เขา อย่างยิ่ง :
: สวัสดีครับทุกท่าน ผมอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิตของผม
ผมเป็นผลผลิตที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ ตามที่สังคมต้องการ
ผมถูกพร่ำสอนจากสื่อต่างๆ จากผู้คนรอบๆตัวว่า
ความสุขเป็นเรื่องของความสำเร็จ และความสำเร็จที่ว่า
ก็เป็นเรื่องของความร่ำรวย ด้วยแนวคิดนี้ ผมจึงต้องต่อสู้
แข่งขันอยู่เสมอ ตั้งแต่เป็นเด็ก
:
ไม่เพียงแต่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด
ผมต้องประสบความสำเร็จ ในทุกสนามแข่งขัน
ในทุกกลุ่มที่สังกัด ต้องได้รับชัยชนะทุกๆ อย่าง
:
จักษุวิทยา เป็นหนึ่งในสาขาที่แย่งกันเรียนมากที่สุด
ดั้งนั้นผมจึงต้องเรียนจักษุวิทยาให้ได้ และผมก็ได้เรียน
แถมยังได้ทุนงานวิจัย จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์
เพื่อพัฒนาเลเซอร์ สำหรับรักษาตาอีกด้วย
:
แต่ความสำเร็จทางวิชาการพวกนี้ ไม่ได้นำความร่ำรวยมาให้ผมเลย
ดังนั้นหลังจากหมดพันธะ กับทางมหาวิทยาลัยแล้ว
ผมบอกกับตัวเองว่า การฝึกฝนทางจักษุวิทยา มันใช้เวลานานเกินไปแล้ว
ผมน่าจะทำเงินได้มากโข ในภาคเอกชน.
:
พวกคุณคงพอรู้ว่าเรื่องของเวชศาสตร์ความงาม ทำเงินได้มหาศาล
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจ พอกันทีกับงานในมหาวิทยาลัย
ถึงเวลาต้องไปแล้ว ผมจึงลาออกจากการ train กลางคัน
และหันเหไปตั้งคลินิกความงามของตัวเอง
:
พวกคุณรู้มั้ย น่าขำที่ผู้คนไม่ได้มองหาฮีโร่จากแพทย์ทั่วไป (GP)
หรือแพทย์ครอบครัว (family physician)
พวกเขามองหาฮีโร่จากแพทย์ที่มีชื่อเสียง และร่ำรวย
พวกเขาจะไม่มีความสุขกับการเสียเงิน 20 เหรียญ เพื่อพบแพทย์ทั่วไป
แต่ไม่บ่นสักคำที่จะจ่ายเป็นหมื่นๆ ดอลล่าร์ สำหรับการดูดไขมัน
หรือเสริมเต้านมหรืออะไร ดูเหมือนไม่มีสมองเอาเลยว่ามั้ยครับ
แล้วพวกคุณจะเป็น GP ไปทำไมกัน เป็นแพทย์ความงามดีกว่า
:
คุณเอ๋ย ธุรกิจมันดี ดีจริงๆ ผ่านไป 1 สัปดาห์ 3 สัปดาห์
1
เดือน 2 เดือน แล้วก็ 3 เดือน คลินิกผมก็ล้น คนมารับบริการมากมาย
ช่างเป็นธุรกิจที่มหัศจรรย์จริงๆ ผมต้องจ้างแพทย์เพิ่มถึง4คน
ภายในปีแรก ผมทำเงินเป็นล้านๆ นั่นแค่ปีแรกนะ
ผมเริ่มลุ่มหลง หมกมุ่นกับมัน ผมขยายธุรกิจไปที่อินโดนีเซีย
เพื่อให้บริการกับผู้ร่ำรวยทั้งหลาย ชีวิตมันช่างสวยงามจริง ๆ
:
ทีนี้ผมทำกับเงินที่หามาได้ มากมายก่ายกองนั่นยังไง?
ผมซื้อรถหรูๆ ขับไปถึงมาเลเซียโน่น เพื่อไปแข่งรถในสนามแข่ง
เงินยังเหลืออีกเยอะ ผมซื้อ Ferrari ครับ รุ่นเปิดประทุนได้ด้วย
:
พอได้รถแล้วทำอะไรอีก? ถึงเวลาที่ต้องซื้อบ้านแล้ว
ผมก็สร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ ผมอยู่ท่ามกลางสังคมของคนร่ำรวย
และมีชื่อเสียง ร้านอาหารก็ต้องระดับ Michelin เท่านั้น
:
ตอนนั้นผมถึงจุดที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแล้ว ผมคิดไปว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในการควบคุมของผม และผมถึงยอดเขาแล้ว
:
แต่.ผมผิดถนัดครับ ปีที่แล้วเดือนมีนาคม ผมเริ่มรู้สึกเจ็บตรงกลางหลัง
ตอนนั้นคิดไปว่าอาจจะออกกำลังกายมากเกินไป ผมจึงไปโรงพยาบาล
ผมทำ MRI เพื่อดูว่าอาจจะมีหมอนรองกระดูกหลังเคลื่อนหรือเปล่า.
:
เย็นวันนั้น เพื่อนผมโทรมาบอกว่า กระดูกสันหลังของนาย
ดูเหมือนจะมีเนื้องอกอะไรบางอย่างนะผมตอบไปว่า
ว่าไงนะ มันหมายความว่ายังไง?” อันที่จริงผมรู้ความหมายดี
แต่ไม่ยอมรับความจริง สุดท้ายก็สรุปว่าผมเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
มะเร็งลามไปสมอง ไปกระดูกสันหลัง ไปตับและต่อมหมวกไตเรียบร้อยแล้ว
: พวกคุณลองคิดดู ผมคิดว่าผมควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้
ผมถึงจุดสูงสุดในชีวิตแล้ว แต่ฉับพลันผมก็สูญเสียมันไปในทันที
ถึงแม้จะให้เคมีบำบัดอย่างเต็มที่ ผมก็จะอยู่ได้เต็มที่ประมาณ
3-4
เดือนเท่านั้น เหมือนฟ้าถล่มดินทลายทับตัวผมมั้ยครับ
:
ผมมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรงเป็นเดือน ชีวิตผมหมดสิ้นแล้ว
น่าขำที่ว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมมี ความสำเร็จเอย ถ้วยรางวัลเอย รถหรูๆเอย
คฤหาสน์เอย ทั้งหมดนั้นผมคิดไปว่ามันจะนำความสุขมาให้ผม
แต่ในยามที่ผมตกอยู่ภาวะซึมเศร้า หดหู่ใจ สิ่งต่างๆ ที่ผมมี
มันกลับไม่ทำให้ผมมีความสุขได้เลย ตลอด10 เดือนที่ผ่านมา
มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเลย
:
สิ่งที่นำความสุขมาให้ผมในช่วง10 เดือนสุดท้าย
กลับเป็นการได้พบปะกับผู้คน ได้พบกับคนที่ผมรัก เพื่อนๆ
ผู้คนที่เป็นห่วงเป็นใยผมอย่างแท้จริง สิ่งเหล่านี้ต่างหาก
ที่นำความสุขมาให้ผม ไม่ใช่สมบัติที่ผมครอบครอง
:
ตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมจะขับรถหรูของผม
ไปทำงาน ไปเยี่ยมบรรดาญาติของผม เพียงเพื่อจะอวดร่ำ อวดรวย
ผมเองก็บันเทิงกับเรื่องแบบนี้เสียด้วย แต่มานึกแล้ว เพื่อนๆของผม
ญาติๆ ของผม คงจะกระอักกระอ่วนใจและคงอยากจะให้ผม
กลับไปเสียเร็วๆ มากกว่า เขาคงไม่คิดจะดีใจไปกับผม
และคงอยากให้ผมไปให้พ้นๆ คงอยากให้ผมลองนั่งรถเมล์ดูมั่ง
จริงๆ แล้ว สิ่งที่ผมทำลงไป ทำให้พวกเขาอิจฉาริษยาสิ่งที่ผมมี
และบางทีก็คงนึกหมั่นไส้ผมอีกด้วย
:
นั่นแหละที่เรียกว่า ตัวสร้างความอิจฉาริษยา
ผมไปอวดร่ำอวดรวย เพียงเพื่อจะเติมเต็มอัตตา
และความยะโสของตัวเอง มันไม่ได้นำความสุขมาให้ผู้อื่นเลย
ผมคิดไปเองว่าพวกเขาจะมีความสุขไปกับผม
: ผมจะเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้ฟัง ตอนที่ผมมีอายุพอๆกับพวกคุณ
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีนิสัยแปลก เธอชื่อ Jennifer
ตอนนี้เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ เวลาผมเดินไปตามทางกับเธอ
ถ้าเธอเห็นหอยทาก คลานอยู่ในทางคนเดิน
เธอจะคอยหยิบพวกหอยทากนั่นไปวางในสนามหญ้า ให้พ้นจากทางเดิน
ผมถามเธอว่า เธอทำอย่างนั้นทำไม ทำให้มือสกปรกเปล่าๆ
มันก็แค่หอยทากตัวหนึ่ง ความจริงก็คือ เธอเข้าใจหอยทากได้
ความรู้สึกที่ว่า ถูกเหยียบบี้แบนจนตายนั้น เธอรับรู้ได้
แต่สำหรับผม มันก็แค่หอยทาก
:
ที่ ที่สอนผมให้เป็นแพทย์ เขาสอนผมให้เป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจ
ให้เป็นคนที่เข้าใจผู้อื่น แต่ผมกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย.
ตอนที่ผมเป็นแพทย์ประจำบ้าน ทำงานอยู่ในแผนกรักษาผู้ป่วยมะเร็ง
ทุกเมื่อเชื่อวัน วันแล้ววันเล่า ผมพบเจอกับความตาย
ยามที่ผมมองคนไข้กำลังทุกข์ทรมาน ผมเห็นแค่ว่าพวกเขากำลังปวด
และผมมีหน้าที่ให้ Morphine แก่พวกเขา เพียงเพื่อระงับอาการปวด
ผมเห็นพวกเขากำลังดิ้นรนหายใจ จนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย
นั่นเป็นเพียงภาระหน้าที่ ผมทำงาน ทำหน้าที่จนเสร็จ
แต่ละวัน ผมแทบจะรอกลับบ้าน แทบไม่ไหว
:
ความเจ็บปวดคืออะไรหรือครับ? เรามีศัพท์เทคนิคต่างๆ
ในการนิยามในการวัดความปวด ความทุกข์ทรมานเหล่านั้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่รู้ซึ้งจริงๆ ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร
จนกระทั่งผมกลายมาเป็นผู้ป่วยเสียเอง ตอนนี้ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้
และถ้าคุณจะถามผมว่า ผมจะเปลี่ยนไปเป็นแพทย์อีกคน
ที่แตกต่างไปจากนี้หรือเปล่า ถ้าผมกลับมีชีวิตอีกครั้ง
ผมตอบได้เลยว่าใช่ ผมจะเปลี่ยนไปแน่นอน
เพราะผมรู้แล้วว่าผู้ป่วยเหล่านั้น รู้สึกอย่างไร
และบางทีเราก็ควรจะเรียนรู้สิ่งนี้ จากของจริง
: แม้ว่าพวกคุณจะเพิ่งเริ่มเรียนปีแรก และเข้าสู่เส้นทางของการ
เป็นศัลยแพทย์ช่องปาก ผมอยากจะลองท้าทายคุณ 2 เรื่อง
::
ประการแรก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนในที่นี้ จะต้องเข้าไปสู่ธุรกิจ
โรงพยาบาลเอกชน พวกคุณจะเริ่มสะสมความมั่งคั่ง รับประกันได้เลยครับ
แค่ใส่ Implant สักอัน คุณก็ได้เงินเป็นพันๆ ดอลลาร์แล้ว
ช่างน่ามหัศจรรย์ใช่มั้ยครับ จริงๆ แล้วไม่ผิดหรอกครับ
ที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ผิดที่จะร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ผิดเลย
ปัญหาประการเดียวก็คือ พวกเราส่วนใหญ่รวมทั้งตัวผมด้วย
ไม่สามารถควบคุมจัดการมันได้
:
ทำไมผมพูดอย่างนั้น ก็เพราะเมื่อผมเริ่มสะสมเงินทอง
ยิ่งผมมีมากเท่าไร ผมก็ยิ่งอยากมีมากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งต้องการอะไรมาก เราก็ยิ่งหมกมุ่นอยู่กันมัน
เพื่อที่จะให้ไปถึงจุดสูงสุด
เหมือนกับที่สังคมทำกับเรา เหมือนกับที่สังคมอยากให้เราเป็น
เมื่อผมหมกมุ่นอยู่กับมันแล้ว อะไรอื่นก็ไม่มีความหมาย
สำหรับผมอีกต่อไป คนไข้ที่เดินเข้ามาก็เพียงแค่ถังเงิน
และผมก็จะรีดเงินออกจากคนไข้พวกนี้ จนถึงหยดสุดท้าย
:
นานมากแล้วที่เราหลงคิดไปว่า เราจะต้องเป็นฝ่ายรับ
สิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ไม่ว่าจะในวงการแพทย์ วงการทันตแพทย์
ผมบอกได้เลย ขณะนี้ในภาคเอกชน บางครั้ง
เราถึงกับให้คำแนะนำกับผู้ป่วย เพื่อให้รับการรักษา
หรือการผ่าตัดที่ไม่มีข้อบ่งชี้ มันเป็นพื้นที่สีเทา
และแม้ว่าบางเรื่องมันจะไม่จำเป็นเลย เราก็ยังแนะนำคนไข้ให้ทำ
และถึงตอนนี้ ผมก็รู้ว่าใครบ้างที่หวังดีกับผมอย่างแท้จริง
และใครบ้างที่หลอกเอาเงินผมโดยการเสนอ ความหวังให้ผมอยู่
เราสูญเสียเข็มทิศทางจริยธรรม (moral compass) ไปเรื่อยๆ
ตลอดเส้นทางสายนี้ เพียงเพราะว่าเราต้องการ make money
:
ที่แย่ไปกว่านั้น ผมบอกได้เลย 2-3 ปีที่ผ่านมานี้
เราพูดให้ร้ายเพื่อนร่วมวิชาชีพของเรากันเอง เสมือนเป็นคู่แข่ง
ในธุรกิจเดียวกัน ถ้าเราสามารถจะกดคนอื่นลง
เพื่อให้เราได้ผลประโยชน์แล้วละก็ เราก็จะทำมันทันที
นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ในวงการแพทย์ และทุกๆ วงการ
สิ่งที่ผมจะเตือนคุณก็คือ อย่าทิ้งเข็มทิศทางจริยธรรมไปเป็นอันขาด
ผมเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาอย่างยากลำบาก
และหวังว่าพวกคุณจะไม่เป็นเช่นนั้น
::
ประการที่สอง พวกเราหลายคนด้านชากับคนไข้ของเรา
ในยามที่เรารักษาพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐ หรือเอกชน
ถามว่าผมรู้ไหมว่า คนไข้แต่ละคนรู้สึกอย่างไร?
ผมไม่รู้หรอก ความหวาดวิตกกังวลต่างๆ ที่พวกเขามี
จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับตัวผมเอง
ตอนนี้ผมกำลังได้รับเคมีบำบัดรอบที่ 5 อยู่
ผมบอกได้เลยว่ามันเลวร้ายมาก เคมีบำบัดเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณ
ไม่อยากจะประสบ เพราะมันช่างทุกข์ทรมาน ทุเรศทุรัง
ผมกำลังจะบอกให้คุณไปหาคนไข้ คนถัดไปของคุณ
มองเขาในฐานะมนุษย์ที่มีความเจ็บปวดและกำลังทุกข์ทรมาน
อย่าได้คิดว่าคนยากจนเท่านั้นที่จะทุกข์ นั่นไม่จริงเลย
คนยากคนจนทั้งหลายจริงๆ แล้ว เขาพอใจในสิ่งที่พวกเขาเป็นอยู่
พวกคุณควรจะรู้ไว้ด้วยว่าพวกเขามีความสุข มากกว่าคุณและผมเสียอีก
:
ผมอยากจะจบการบรรยายด้วย ประโยคนี้
มันมาจาก หนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie
Everyone knows that they are going to die;
every one of us knows that.
The truth is, none of us believe it because if we did,
we will do things differently.
: เมื่อผมเผชิญหน้ากับความตาย ผมได้ลอกคราบตัวเองออกทั้งหมด
เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น ที่น่าขำก็คือ
เมื่อเราเรียนรู้ว่าเราจะตายอย่างไร นั่นแหละเราถึงจะเรียนรู้ว่า
เราจะมีชีวิตอย่างไร ผมรู้ว่ามันออกจะเคร่งเครียดไปหน่อย
แต่นั่นคือความจริงครับ นี่คือสิ่งที่ผมได้ประสบมา
:
อย่าให้สังคมบอกคุณว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร
อย่าให้สื่อต่างๆ บอกคุณว่าคุณควรจะทำอะไร
สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ผมปล่อยให้ชีวิตผม
จมไปกับความคิดที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะนำความสุขมาให้
ผมหวังว่าคุณจะใคร่ครวญกับเรื่องนี้ และตัดสินใจเลือกว่า
จะใช้ชีวิตของคุณเองอย่างไร ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอกให้คุณทำ
คุณต้องตัดสินใจว่า คุณจะให้เฉพาะแต่ตัวคุณเอง
หรือจะสร้างความแตกต่างขึ้น ในชีวิตของผู้อื่น
เพราะความสุขที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการให้อะไรกับตัวเอง
ผมเคยคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย .

Oranop เรียบเรียง 091212