19 ก.ค. 2555

ขาด Facebook ขาดใจ จริงหรือ


ได้อ่านบทความของคุณพิศณุ นิลกลัด ใน คลุกวงใน บอกว่า "ขาด Facebook...
ขาดใจ"  ในมติชนสุดสัปดาห์ว่า 
โลกยุคปัจจุบันเป็นโลกยุคไอทีอย่างสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ไปแล้วครับ

ผมเองเดี๋ยวนี้ติดต่อเจรจากับลูกค้าตกลงรับงานเสร็จสรรพเรียบร้อยโดยต่างฝ่าย
ต่างไม่ต้องนั่งคุยกัน ไม่เสียเวลาเดินทางไปประชุมทั้งเขาทั้งเรา ประหยัดเวลา 
ประหยัดน้ำมันไปได้เยอะ

ข้อมูล ข่าวสารในการพากย์ การเขียน บทความ หรือการจัดทำรายการในทีวี 
ผมไม่ต้องอาศัยทีมค้นคว้ามากมายเหมือนเก่า อยากรู้อะไรก็ค้นหาในกูเกิล 
ยูทูป ส่งอีเมลถามผู้รู้

เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของคนในโลกนี้ในเกือบทุก
ระดับชั้นไปแล้ว

หากเรารู้จักใช้ในทางที่ถูกที่ควรและเหมาะสม ประโยชน์ของเทคโนโลยีจะมีมากมายมหาศาล

แต่หากใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร จะส่งผลเสียต่อบุคคลและสังคมอย่างที่ปรากฏ
เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ให้เห็นเกือบทุกวัน

ผู้ปกครองที่มีลูกหลานอยู่ในวัยเด็ก วัยรุ่น ควรดูแลการใช้คอมพิวเตอร์ให้ใกล้ชิด
และมีกฎเกณฑ์การใช้ที่เหมาะสม

ในเด็กซึ่งเป็นวัยที่ต้องเรียนรู้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในทุกด้านเพื่อเป็นผู้ใหญ่
ที่มีคุณภาพในอนาคต ปรากฏว่ามีไม่น้อยที่มีคอมพิวเตอร์เป็นเพื่อนสนิทที่สุดเพียง
คนเดียว ทำให้ขาดทักษะขาดการเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

ในวัยรุ่น วัยหนุ่มสาว รวมทั้งวัยผู้ใหญ่ คอมพิวเตอร์ทำให้หลายคนสร้างโลกสมมุติ
ที่ตัวเองต้องการ สามารถหลบหนีออกจากโลกแห่งความจริงที่ทำให้เป็นทุกข์

การเล่น Facebook หรือ Twitter เป็นการติดต่อสื่อสารอีกช่องทางหนึ่งที่มีความ
สำคัญมากสำหรับคนในสมัยนี้

คนจำนวนไม่น้อยบอกว่าจะไม่มีความสุขเลยหากไม่ได้เล่นทุกวัน!



จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแซลฟอร์ด ประเทศอังกฤษ พบว่าคนที่
เล่นเฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ หรือเว็บไซต์โซเชี่ยล มีเดียเป็นประจำจะรู้สึก
ทุกข์ใจ รู้สึกว่าชีวิตยังไม่เพียงพอ ยังมีสิ่งที่ตัวเองขาด

มหาวิทยาลัยทำการศึกษาคน 298 คน และได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจดังนี้ครับ

51% บอกว่าการเล่นเว็บโซเชี่ยล มีเดีย ทำให้พฤติกรรมของตัวเองเปลี่ยนแปลง
ในทางลบ คือมีความรู้สึกขาดความมั่นใจเพราะเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนๆ
 ออนไลน์คนอื่น

จำนวน 2 ใน 3 บอกว่าหลังจากเล่นเว็บโซเชี่ยล มีเดียแล้วนอนไม่หลับ จิตใจ
ไม่ผ่อนคลาย

กว่า 60% บอกวิธีเดียวที่จะหยุดพัก ไม่เล่นโซเชี่ยล มีเดีย คือต้องปิดเครื่อง
คอมพิวเตอร์ ปิดมือถือ ไม่อย่างนั้นอดใจไม่เล่นไม่ไหว

55% บอกรู้สึกกังวล ไม่สบายใจ เมื่อเข้าเว็บไซต์โซเชี่ยล มีเดียไม่ได้ หรือ
เช็กอีเมลไม่ได้

25% บอกเมื่อทะเลาะกับคนออนไลน์ ทำให้จิตใจไม่สบาย กระทบชีวิตส่วนตัว
และชีวิตการงาน

ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนเมษายน ก็มีการศึกษาจากยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ เยอร์เทย์บอร์รี่ 
ของสวีเดนเรื่องเฟซบุ๊กกับความสุข ความภูมิใจในตัวเอง (self-esteem) ซึ่งได้
ผลใกล้เคียงกันกับที่มหาวิทยาลัยแซลฟอร์ดทำการศึกษา โดยพบว่าคนที่ติด
เฟซบุ๊กมักมีความภูมิใจในตัวเองต่ำ

การศึกษานี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับเฟซบุ๊กที่ใหญ่ที่สุดในสวีเดน ทำการศึกษา
คน 1,011 คน (หญิง 676 คน ชาย 335 คน) มีอายุเฉลี่ย 32.6 ปี พบว่า...

84% เล่นเฟซบุ๊กเป็นกิจวัตรประจำวัน โดยเฉลี่ยวันละ 75.2 นาที

ยิ่งใช้เวลาเล่นเฟซบุ๊กนานเท่าไหร่ ความภูมิใจในตัวเองก็ยิ่งลดลง โดยเฉพา
ะอย่างยิ่งในผู้หญิง การที่คนจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองลดลงหรือทุกข์มากขึ้น
หลังเล่นเฟซบุ๊กหรือโซเชี่ยลมีเดียอื่นๆ นั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะคนเรามักจะโพสต์
เรื่องราวในทางบวกของตัวเองให้คนอื่นอ่าน ทำให้คนโพสต์รู้สึกดีว่าชีวิต
ตัวเองมีความสุข ทำให้คนอื่นอิจฉา ทั้งๆ ที่ชีวิตจริงไม่ได้มีความสุขตลอดเวลา
อย่างที่โพสต์



เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา  ที โมบายล์ (T-Mobile) ซึ่งให้บริการด้านโทรศัพท์
มือถือ ของสหราชอาณาจักรพบว่า

40% ของคนสหราชอาณาจักรที่ท่องเที่ยวพักผ่อน เข้าไปโพสต์ข้อความใน
เฟซบุ๊กของตัวเองทุกวันเพื่อให้เพื่อนฝูงทราบข่าวคราวไปเที่ยวที่ไหน กินอะไร
 สนุกอย่างไร

51% โพสต์รูปตัวเองในเฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ โดยเป็นรูปที่ถ่ายกับสถานที่สำคัญ
ในต่างประเทศเพื่อที่จะโชว์กับเพื่อนๆ

30% ตั้งใจเขียนโม้ว่าตัวเองเที่ยวสนุกสุดขีดเพื่อที่จะให้เพื่อนที่ไม่มีโอกาสได้ไป
เที่ยวไหนอิจฉา

60% ของคนที่เขียนบอกว่าตัวเองเที่ยวสนุกมากให้เหตุผลว่าในเมื่อตัวเองมี
ความสุขก็มีสิทธิ์ที่จะเขียนโชว์เรื่องของตัวได้ เพราะไม่ได้ไปละเมิดสิทธิ์ของใคร

50% ของคนที่เขียนโม้เกินจริงบอกเป็นเรื่องปกติเพราะใครๆ ก็ทำกันทั้งนั้น

40% ของจอมโม้บอกโพสต์เพราะต้องการให้คนอ่านหงุดหงิดและอิจฉา

15% ของคนที่เขียนเกินเลยบอกทำไปเพราะอยากให้แฟนเก่าอิจฉา และเสียดาย
ที่เลิกกะเรา

ในหมู่ของชาวสหราชอาณาจักร (ประกอบด้วย คนอังกฤษ คนสก๊อต คนไอร์แลนด์
เหนือ และคนเวลส์) พบว่าคนไอร์แลนด์เหนือชอบโม้ในเฟซบุ๊กมากที่สุดเวลา
ไปเที่ยวพักผ่อน ตัวเลขอยู่ที่ 70% ตามมาด้วยคนในกรุงลอนดอน และคนสก๊อต
65% เท่ากัน

โรบิน ริฮานน่า เฟนดี หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ริฮานน่า นักร้องผิวสีชื่อดัง
ก้องโลก และ วิกตอเรีย เบ็คแฮม ติดอันดับท็อป 5 ที่คนคิดว่าเป็นจอมโม้ตัวแม่
เพราะชอบโอ้อวด ชอบโชว์รูปตัวเองเวลาไปเที่ยวพักผ่อนตากอากาศตามที่ต่างๆ

การที่คนติดเล่น Facebook /Twitter หรือ โซเชี่ยล มีเดียอื่นๆ เดิมทีอาจเป็นคนที่ขาด
ความมั่นใจ ไร้สุขในชีวิตอยู่ก่อนแล้ว ไม่ชอบปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นแบบต้องเห็น
หน้าพูดคุยกัน จึงเลือกที่จะมีสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ทางสังคมออนไลน์แทน





      รู้สึกดีมากๆเลยที่ได้อ่านบทความนี้เพราะเราเป็นคนไม่ชอบเล่น Facebook
ขอเป็นคนตกเทรนด์ก็แล้วกัน และที่บางครั้งเป็นข่าวที่บอกว่าโจรมายกของในบ้าน
ไปเกือบหมด
ก็เพราะ  facebook/ twitter นี่แหละที่ทำให้โจรรู้ว่า ช่วงไหนเราจะ
ไม่อยู่บ้าน 
แล้วก็ไม่อยู่กี่วัน โจรจะได้วางแผนมายกเค้าบ้านเราได้ไง เราก็คงต้องทำใจ
เพราะเราอวด
เพื่อนทางออนไลน์ซะขนาดนั้นนี่นา  ก็ต้องมีโจรมีระดับที่เล่น facebook/
twitter
 บ้างล่ะน่า่.....

คนไทยใช้เฟซบุ๊กมากที่สุด และ.......มากที่สุดด้วย


ได้มีโอกาศอ่าน"โลกหมุนเร็ว" เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้
เทคโนโลยี
 
ในมติชนสุดสัปดาห์ ความว่า




"ผู้เขียนมักจะเป็นคนท้ายๆ ที่ไขว่คว้าหาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้กะเขา ขนาดเป็นแบบนี้
ก็ยังปรากฏว่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่ซื้อมาไว้อยู่มากมาย หลายอันซื้อมาแล้วก็ไม่ค่อยได้ใช้ 
รู้สึกว่าใช้แล้วยุ่งยาก บ้างก็ใช้ผิดใช้ถูก แล้วก็เลยไม่ได้ใช้ไปเลย

บางครั้งผู้เขียนก็รอจนคนอื่นเขามีกันหมดแล้วนั่นแหละ จึงจะถึงคิวเราซื้อบ้าง

ตัวเลขจำนวนเครื่องใช้เพื่อการสื่อสารในยุคใหม่ เป็นเรื่องน่าตกใจ มีผลงานวิจัยบอกว่า
มันมีมากกว่าจำนวนประชากรเสียอีก

หรือตัวเลขคนที่ใช้เฟซบุ๊กในเมืองไทยที่ติดอันดับหนึ่งของโลกก็น่าตกใจไม่แพ้กัน 
เดี๋ยวจะกลับมาต่อกันเรื่องนี้

เวลานี้ คนไทยมีสมาร์ทโฟนใช้กันเกร่อแล้ว อัตราการเปลี่ยนจากมือถือธรรมดามาเป็น
สมาร์ทโฟนก็มีถี่ขึ้นๆ แต่ผู้เขียนก็เพิ่งคิดว่า อืมม์ คงต้องมีกับเขาบ้างแล้ว เพราะจะ
ได้เข้าอีเมลได้เวลามีอะไรเร่งด่วน หรือจะได้ติดตามความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นและ
ทองคำบ้าง

เมื่อสักครู่หาความรู้จากเด็กรุ่นใหม่ที่พอมีเงินเดือนระดับหนึ่งก็ต้องมีสมาร์ทโฟนกัน
เกือบจะทุกคน ถามว่า "เขามีสมาร์ทโฟนไว้ใช้ทำอะไร" และแล้วก็ถึงบางอ้อ
เมื่อเด็กตอบว่า "เขาไว้เล่นเฟซบุ๊กกันอ่ะค่ะ" "นอกจากนั้น ก็ไว้ถ่ายรูป"

มิน่าล่ะ เมืองไทยถึงติดอันดับเล่นเฟซบุ๊กมากที่สุดในโลก และอัตราการใช้อินสตาแกรม
ก็ถี่ขึ้นทุกวัน

และยังเลือกที่จะใช้สมาร์ทโฟนเล่นของพวกนี้กันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้แท็บเล็ต


เป็นอันว่าเดี๋ยวนี้สมาร์ทโฟนไม่ได้ใช้ในการโทรศัพท์ แต่ใช้เล่นเฟซบุ๊ก เช็กเมล เข้าเว็บ
 และถ่ายรูปจนเราคิดว่ามันไม่น่าจะเรียกว่า "สมาร์ทโฟน" แล้วนะ แต่น่าจะเรียกว่า 
"อุปกรณ์สื่อสารประจำตัว" อะไรแบบนี้มากกว่า 

เช่น เมื่อวานนี้ มีงานพบปะสังสรรค์ เพื่อนก็ยก สมาร์ทโฟน ขึ้นมาถ่ายรูปให้ แล้วก็ส่ง
อีเมลมาให้ ชัดแจ๋วแหวว ก็สมาร์ทโฟนของเธอนั้นน่ะมีกล้องถ่ายรูปตั้ง 5 ล้านพิกเซล 
เท่ากับกล้องถ่ายรูปดิจิตอลเลย

อันที่จริง เมื่อมองจากผู้ผลิต การเพิ่มการใช้งานให้กับโทรศัพท์มือถือ ก็เกิดจากการ
ค้นคว้าวิจัยที่พบว่า คนเราต้องการสื่อสารด้วยข้อความและภาพมากขึ้น ภาษาของ
ผู้ผลิตเรียกว่า data จึงเพิ่มการใช้งานมือถือให้รับส่งอีเมลได้ ถ่ายภาพและส่งภาพได้

ดังนั้น การที่ผู้เขียนคิดว่า ถึงเวลาต้องมีสมาร์ทโฟนบ้างแล้ว ก็เป็นเพราะต้องใช้งาน
เรื่องการสื่อสารด้วยภาพและข้อความนี่แหละ

คนทำงานในภาคธุรกิจ จำเป็นต้องใช้แล็บทอป เพราะต้องหิ้วไปใช้นำเสนองาน 
เมื่อก่อนนี้ถ้าจะใช้อีเมล ก็มีเซิร์ฟเวอร์ ของบริษัท หรือไม่ก็มีสายแลน ต่อมาเมื่อออก
นอกสำนักงานก็เข้าอีเมลด้วยไวไฟ

ต่อมาสมาร์ทโฟนก็แซงหน้า ใช้เช็คอีเมลได้ เมื่อเป็นอย่างนี้จะหิ้วแล็บทอปให้เกะกะ
ทำไม 
ก็ซื้อสมาร์ทโฟนมาใช้สิ มันท่องเว็บก็ได้ ส่งอีเมลก็ได้ ถ่ายรูปเหตุการณ์หรือ
ผลิตภัณฑ์ 
ส่งไปให้ลูกค้าก็ได้ทันท่วงที

คนก็เลยโยนแล็บทอปที่เกะกะทิ้ง และหันมาใช้สมาร์ทโฟนแทน

จึงทำให้ยอดขายสมาร์ทโฟนขึ้นลิ่ว และยอดขายโฟนที่ไม่สมาร์ทตกลงไป กลายเป็น
พวก
 low end ใช้กัน 

............
สถิติจากประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายน 2555 บอกว่าขณะนี้ยอดจำนวนผู้ใช้
สมาร์ทโฟนที่เป็นผู้ใหญ่มีถึง 45% ของจำนวนประชากร ครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้จะใช้
อินเตอร์เน็ตจากสมาร์ทโฟน 

เมื่อถามผู้ใช้สมาร์ทโฟนโดยให้เปรียบเทียบกับอุปกรณ์เทคโนโลยีอื่นๆ ก็ปรากฏว่าหนึ่ง
ในสามบอกว่าเขาเข้าเว็บด้วยสมาร์ทโฟนมากกว่าอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งหมายถึงคอมพิวเตอร์
พีซี 
แล็บทอป และแท็บเล็ตนั่นเอง

เหตุผลก็ง่ายนิดเดียว เพราะสมาร์ทโฟนนั้นพกพาสะดวก ติดมือติดไม้ไปได้ตลอดเวลา

ปัจจุบันนี้คนที่ไม่ได้ทำงานประจำซึ่งต้องใช้คอมพิวเตอร์พีซีหรือแล็บทอป และอาจจะ
ไม่เคยมีคอมพิวเตอร์พีซีหรือแล็บทอปที่บ้านเลย ก็ยังกระโดดข้ามขั้นไปซื้อสมาร์ทโฟน
มาใช้เลย 

คนที่กระโดดข้ามขั้นนี้มีร้อยละ 10 ในอเมริกา

ถ้าเป็นคนไทย เหตุผลหนึ่งก็คือ มันเทียมหน้าเทียมตาคนอื่น ซื้อมาไว้เล่นเฟซบุ๊กสนุกๆ 
ถ่ายรูปเพลินๆ เท่านี้ก็เป็นเหตุผลที่พอเพียง

สิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกาอาจจะไม่ได้แตกต่างจากในไทยนักก็ได้ 

และเมื่อมาถึงอายุคนที่ใช้สมาร์ทโฟนท่องเว็บ กลุ่มที่เติบโตที่สุดคือที่อายุ 25-34 ถัดมา
ก็เป็นกลุ่มคนอายุ 35-44 

พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีอีกอย่างที่เปลี่ยนไปคือพฤติกรรมการชมทีวี

ตัวเลขล่าสุดของสหรัฐอเมริการะบุว่าปัจจุบันนี้คนร้อยละ 70 ดูทีวีจากอุปกรณ์ที่ไม่ใช่ทีวี 
แต่เป็นจอคอมพิวเตอร์

เมื่อปีที่แล้ว อัตราคนที่ดูทีวีจากแท็บเล็ตมีมากขึ้นถึงสองเท่าตัวในอเมริกา

ผู้ผลิตทีวีต้องขยับตัวกันแล้ว ก่อนจะสายเกินแก้ ยอดขายหายไปแบบไม่ทันรู้ตัว

เพราะยิ่งนับวันคนก็ต้องการจะมี "ของชิ้นเดียว" ใช้ได้สารพัดประโยชน์

และเมื่อพูดถึง "ของชิ้นเดียว" นี้ จากการสำรวจในสามเดือนแรกของปีนี้คนอเมริกันสอง
ในสามก็จะมีอุปกรณ์เคลื่อนที่ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตกัน

แต่ถึงแม้ผู้ผลิตจะพยายามทำให้ "ของชิ้นเดียว" ใช้ได้สารพัดประโยชน์ คนก็ยังไม่วาย
ซื้อมากกว่าหนึ่งชิ้น

ร้อยละ 70 ของคนอเมริกันมีมากกว่าหนึ่งชิ้น นั่นก็คือหนึ่งสมาร์ทโฟนกับหนึ่งแท็บเล็ต

คงจะเป็นเพราะคนเขามีกันทั้งสองอย่างนี่นะ แต่ถ้าถามเหตุผล ก็แถไปได้ว่า เพราะ
สมาร์ทโฟนไม่มีไอ้นั่น แท็บเล็ตไม่มีไอ้นี่ ต้องมีทั้งสองถึงจะครบ อะไรทำนองนี้

.................

ก่อนจบขอเม้าธ์เรื่องที่ได้ฟังมาจากรุ่นเด็กๆ ที่เล่นเฟซบุ๊กกัน ถึงเหตุการณ์ที่บอกพฤติกรรม
การใช้เฟซบุ๊กแบบคนไทย

เขาเล่าว่ามีเฟซบุ๊กของออสเตรเลียรณรงค์ให้คนในออสเตรเลีย "รับเลี้ยง" สุนัขจรจัด

คนไทยเข้าไปดู ก็ไม่ดูตาม้าตาเรือว่าเขาให้แต่คนออสเตรเลีย ก็เลยกด "รับเลี้ยง"
กันใหญ่


ร้อนถึงแอดมินของทางโน้นต้องบอกว่า "คนไทยกรุณาอย่ากด รับเลี้ยง นะครับ
เพราะ
ทำให้สุนัขตัวนั้นหมดโอกาสจะได้ผู้รับเลี้ยงซึ่งต้องอยู่ในออสเตรเลีย

เท่านั้นแหละชาวไทยก็เป็นฟืนเป็นไฟ รวมหัวกันส่งข่าวไปต่อๆ ว่าเล่นไม่ได้
ให้กด unlike 
ทางแอดมินก็บอกว่า เล่นได้ กด like ได้ เพราะสุนัขจะได้มีคนบริจาค
อาหาร เพียงแต่อย่ากด
"รับเลี้ยง"

ในที่สุดก็มีคนไทยแปลอังกฤษเป็นไทยให้คนไทยเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วคนไทย
ก็ต่างพากัน
ขอโทษทำให้เมล,มันรก

ทางแอดมินเลยบอกไม่ต้องขอโทษแล้วคร้าบเพราะมันรก คนไทยก็โกรธอีก
บอกว่าทำไมล่ะ 
ก็จะขอโทษนี่

ในที่สุดทางแอดมินปวดหัวมากก็เลยบล็อกไม่ให้คนไทยเข้า 

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คนไทยดังไปทั่วโลก ความเป็นจริงที่ว่าคนไทยใช้เฟซบุ๊ก
มากที่สุด
 และงี่เง่ามากที่สุดเลยเป็นที่รู้กันไปทั่วโลก ฉะนี้แล"



หลังจากอ่านบทความนี้แล้วก็ทำให้ได้รับทราบว่า ปัจจุบันคนใช้สมาร์ทโฟน
กันเพื่ออะไร
 โดยเฉพาะวัยรุ่นทั้งหลาย รวมทั้งเรื่องการใช้ facebook ของคนไทย
ที่ใช้กันมากที่สุด
รวมทั้งเรื่องขำๆ แต่น่ารักแบบเปิ่นๆ ที่ทำให้คนไทยเราดัง
ไปทั่วโลกอีกครั้ง
 

17 ก.ค. 2555

ระวัง! อีเมล์ปลอม(Phishing Email) ในการธนาคารออนไลน์



ระวัง! อีเมล์ปลอมจากธนาคาร
ประเด็นเรื่องความปลอดภัยออนไลน์ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนควรรับรู้ (และถ้ารู้ก็บอกคนรอบตัวให้รู้)
เรื่องมีอยู่ว่า

"ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา   ผมได้รับ “อีเมล์ปลอม” ที่ทำตัวเหมือนอีเมล์แจ้งข้อมูลจากธนาคารในประเทศไทยอยู่พอสมควร ซึ่งอีเมล์พวกนี้จะมีเนื้อหาทำทีว่าบัญชีออนไลน์ของเรามีปัญหาหรือธนาคารจะ ปรับปรุงระบบ แล้วบอกให้เรากดลิงก์ที่ให้มาเพื่อปรับปรุงข้อมูลเสียใหม่

ฟังดูคล้ายๆ กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทร.มาหลอกให้โอนเงินเพื่อรักษาสภาพบัญชีเลยใช่ไหม ครับ เทคนิคเดียวกัน เรื่องพวกนี้ถ้าเผลอกดเข้าเว็บหลอก (ที่มักจะปลอมหน้าตาให้เหมือนเว็บจริง) แล้วกรอกข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญลงไป อาจซวยได้ครับ ดังนั้น เรื่องพวกนี้เราต้องรู้ให้เท่าทันแก๊งหลอกลวงไว้เสมอๆ

วิธีตรวจสอบอีเมล์ว่าเป็นของแท้หรือของปลอม วิธีดูง่ายๆ คือดูที่ “ชื่อผู้ส่ง” และ URL ของเว็บที่บอกให้เราคลิก ผมขอใช้ภาพอีเมล์หลอกว่าเป็นธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่ผมได้รับมาเป็นตัวอย่างให้ดูกันชัดๆ เลยดีกว่าครับ




จากภาพจะเห็นว่าชื่อผู้ส่งใช้คำว่า SCB – Online Security ซึ่งดูแล้วน่าเชื่อถือ แต่พอดูอีเมล์ของผู้ส่งจะลงท้ายเป็น @ioo2012-scb.com แบบนี้ดูแปลกๆ แล้วใช่ไหมครับ เพราะเว็บไซต์ของธนาคารไทยพาณิชย์คือ scb.co.th ดังนั้นอีเมล์ก็ควรจะใช้รูปแบบเดียวกัน แบบนี้ฟันธงไว้ก่อนเลยว่าปลอมชัวร์



ถัดมาในเนื้อเมล์ เขาจะหลอกให้เราคลิกไปที่ http://www.scbsystemupgrade.net/EasyNet.htm (อีเมล์ปลอมจะเปลี่ยนชื่อเว็บไปเรื่อยๆ เขาทำเว็บหลอกไว้เยอะ) จะเห็นว่าชื่อเว็บมีคำว่า scb และมีคำศัพท์ที่ดูน่าเชื่อถือ แต่รวมทั้งหมดแล้วมันไม่ตรงกับเว็บหลักของธนาคาร (scb.co.th) หรือเว็บธนาคารออนไลน์ (scbeasy.com) แบบนี้ก็ปลอมชัวร์ล้านเปอร์เซ็นต์ครับ

ลองมาดูตัวอย่างอีเมล์จริงที่ SCB ส่งมาแจ้งข่าวแก่ลูกค้าเป็นการเปรียบเทียบนะครับ (อีเมล์ของแท้จะแจ้งข่าวเราเฉยๆ แต่ไม่มีวันขอข้อมูลใดๆ จากเราผ่านอีเมล์หรืออินเทอร์เน็ต ถ้าไม่ชัวร์โทร.เข้าคอลเซ็นเตอร์ของธนาคารก่อนเป็นดีที่สุด)




จากภาพจะเห็นว่าผู้ส่งอีเมล์เป็น scb.co.th และลิงก์ที่ลงไว้คือ scbeasy.com ซึ่งเป็นเว็บที่ SCB โฆษณาเอาไว้ตามชื่อต่างๆ รายละเอียดในเมล์เห็นชัดว่าต่างไปจากอีเมล์หลอกแน่นอน



เพื่อความชัวร์ ผมอยากให้คุณผู้อ่านตั้งใจสังเกตข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อเข้าเว็บธนาคารออนไลน์ กันสักหน่อย จะได้มั่นใจว่าเป็นเว็บแท้ไม่มีหลอกครับ เนื่องจากเว็บปลอมนิยมทำหน้าตาให้เหมือนเว็บแท้เพื่อหลอกให้คนตายใจ ดังนั้น เราต้องสังเกตที่จุดอื่นแทน ซึ่งจะต่างกันไปตามเว็บเบราว์เซอร์ที่ใช้




กรณีแรกขอใช้ของ Firefox กับธนาคารไทยพาณิชย์ก่อน


จุดแรกที่ควรสังเกตคือ URL ของเว็บต้องเป็น scbeasy.com เท่านั้น คือต้องเขียน scbeasy กับ .com ติดกันเสมอ ถ้าเจอ scbeasy.online-web.com แบบนี้ของปลอมแน่นอนครับ

ถัดมาด้านซ้ายมือจะเห็นปุ่มสีเขียวพร้อมชื่อ ธนาคาร มันสามารถกดได้และจะแสดงเมนูขึ้นมาให้เห็น เมนูนี้คือธนาคารจะไปขอคำรับรองจากหน่วยงานในต่างประเทศเพื่อบอกเราว่าเว็บ นี้เป็นเว็บจริง ถ้าไอคอนเป็นสีเขียวพร้อมชื่อธนาคารที่เราใช้จริงๆ แบบนี้มั่นใจได้




กรณีที่สอง ผมเปลี่ยนเป็น IE กับธนาคารกสิกรไทยครับ ไอเดียคล้ายๆ กันแต่รายละเอียดต่างไปสักหน่อย




จุดแรกดู URL เหมือนกัน ของธนาคารกสิกรไทยใช้คำว่า kasikornbankgroup.com ถ้าผิดไปจากนี้แปลว่ามีปัญหา
IE ใช้วิธีแสดงแถบที่อยู่ทั้งอันเป็นสีเขียว พร้อมไอคอนแม่กุญแจบอกว่าปลอดภัย และชื่อธนาคารที่ผ่านการรับรองแล้ว แบบนี้ถูกต้อง ใช้งานได้




กรณีสุดท้าย ใช้ Chrome กับเว็บธนาคารกรุงเทพ หน้าตาจะคล้ายกับของ Firefox มากกว่า
URL ลงท้ายด้วย bangkokbank.com


มีไอคอนแม่กุญแจสีเขียว กดเข้ามาแล้วเจอสีเขียวพร้อมชื่อธนาคารอย่างถูกต้อง
สำหรับธนาคารอื่นๆ คงไม่พูดถึงทั้งหมดเพราะจะซ้ำซ้อนเปล่าๆ หลักการของทุกธนาคารเหมือนกันหมด ดังนั้น นำเคล็ดที่ผมกล่าวไปช่วยตรวจสอบก่อนทำธุรกรรมได้ครับ


สุดท้าย นอกจากเรื่องเข้าเว็บถูกไม่โดนหลอกแล้ว อีกปัญหาหนึ่งที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของบัญชีเราได้คือไวรัสและมัลแวร์ ที่อาจเข้ามาติดเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราโดยไม่รู้ตัว ไวรัสหรือมัลแวร์บางตัวจะแอบทำงานอยู่เงียบๆ และดักจับข้อมูลจากคีย์บอร์ดของเรา (ก่อนที่จะส่งไปยังเว็บธนาคารจริงๆ) ซึ่งมันอาจได้ข้อมูลสำคัญอย่างรหัสผ่านหรือหมายเลขบัตรเครดิตไปได้ ดังนั้น ควรติดตั้งโปรแกรมสแกนไวรัสและอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสอยู่เสมอ ปัจจุบันมีโปรแกรมแอนตี้ไวรัสดีๆ มากมายให้เลือกดาวน์โหลดได้ตามชอบครับ."

ที่มา http://www.thairath.co.th และ http://guruclubit.blogspot.com/

นับเป็นเรื่องที่คนชอบใช้ธนาคารออนไลน์ทั้งหลาย ควรให้ความสนใจนะ 
ก่อนที่จะเป็นเหยื่อกับคนกลุ่มนี้

13 ก.ค. 2555

ชื่อยอดฮิตของ "คนไทย" ปี 2555



ข้อมูลประชากรไทย จากสำนักทะเบียน เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2555 ซึ่งเป็น
วันประชากรโลก
  นายธวัชชัย ธรรมรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน
กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย    ได้มีการเปิดเผย
ตัวเลขจำนวนประชากรไทย
ล่าสุด  ณ  วันที่ 31 ธันวาคม 2554 เบ็ดเสร็จแล้วมีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 
64,076,033 คน




โดยพอลงในรายละเอียดของข้อมูลพบว่า

ในจำนวนนี้มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 1,017,737 คน หมายถึงผู้ชายมีจำนวน 

          จังหวัดที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 1 คือ กรุงเทพมหานคร มี 5 ล้านคน
          จังหวัดที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 2 คือ จังหวัดนครราชสีมา มี 2.5 ล้านคน
          จังหวัดที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 คือ จังหวัดอุบลราชธานี มี  1.8 ล้านคน
          จังหวัดที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 4 คือ จังหวัดอุดรธานี มี 1.5 ล้านคน
          จังหวัดที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 5 คือ จังหวัดศรีสะเกษ มี 1.4 ล้านคน
          ขณะที่ จังหวัดที่มีประชากรน้อยที่สุดคือ จังหวัดระนอง มี 180,000 คน

มาดูชื่อตัวที่มีผู้ลงทะเบียนในทะเบียนราษฎรมากที่สุด  ยังคงยอดฮิต ในตระกูล "สม"
ทั้งหลาย โดย

          อันดับ 1  คือ สมชาย  จำนวน 240,000 คน
          อันดับ 2  คือ สมศักดิ์  จำนวน 230,000 คน
          อันดับ 3  คือ สมพร     จำนวน 210,000 คน
          อันดับ 4  คือ สมบูรณ์  จำนวน 170,400 คน
          อันดับ 5  คือ ประเสริฐ  จำนวน 170,000 คน


ชื่อ"สมชาย"คนดังๆ ใช้เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น สมชาย เข็มกลัด นักร้อง-นักแสดงดัง,
สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ,สมชาย จึงประเสริฐ กรรมการการเลือกตั้ง ,
สมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ,สมชาย (สมเล็ก)  ศักดิกุล  นักแสดง นักดนตรี
นักพากญ์ชื่อดัง ฯลฯ

หรือจะชื่อสมศักดิ์ ก็มีทั้ง สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ,
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล  จารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคภูมิใจไทย  หรือ
สมศักดิ์  ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นต้น


นอกจากนี้ตามที่ พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน 2554 กำหนดให้ผู้ที่มี
อายุตั้งแต่ 7-14 ปี ต้องทำบัตรประชาชนซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 4,854,580 คน 
แต่จนถึงตอนนี้ ผ่านมาแล้ว 1 ปี   ยังมีผู้อยู่ในข่ายไม่ได้ทำบัตรอีก
1,699,182 คน


เอ้า...ใครที่ยังไม่ได้ทำบัตรประชาชนก็รีบไปทำซะนะ

ท่านคิดว่า รถสีอะไรที่นกชอบมาก..ถึงมากที่สุด


คุณเคยสังเกตไหมว่า รถบางคันจอดอยู่แล้วมีนกมาถ่ายมูลไว้ แต่ในขณะที่
รถที่จอดอยู่ใกล้ไม่โดน เรามาดูกันดีกว่าว่ารถสีอะไร ที่นกชื่นชอบและใช้มัน
เป็นห้องส้วมมากที่สุด งานนี้มีการทำวิจัยออกมารองรับด้วยนะ




             มีการศึกษาเรื่องนี้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับสีรถยนต์ที่มีปัจจัย
ต่อการขี้ของนก แม้ว่าเรื่องนี้ฟังดูไร้สาระ สำหรับงานวิจัยนี้เน้นการศึกษาเชิงวิชาการ
และได้ข้อมูลที่น่าสนใจ โดยเฉพาะใครที่กำลังจะซื้อรถคันใหม่ จะได้คิดให้ดีก่อนเลือกซื้อ

                ในผลการวิจัยดังกล่าวที่ทำการศึกษาโดย  Halford ซึ่งเป็นบริษัท
ทำความสะอาดยานยนต์ชั้นนำของอังกฤษที่เก็บข้อมูลจาก 5 เมืองใหญ่ เช่น
กลาสโกร  ,ลีดส์ ,แมนเชสเตอร์,บริสทอล และ บริกทอน  พบว่า ขี้นกเป็นสิ่ง
ที่สร้างความรำคาญให้กับผู้ขับขี่รถยนต์มากและนอกจากนี้ ขี้นกยังทำปฏิกิริยา
โดยตรงต่อสีรถยนต์ และ ทำให้รถเสื่อมคุณค่าเมื่อเห็นขี้นกอยู่บนสีรถ


                การศึกษาดังกล่าวพบว่า ผู้ขับขี่ 1 ใน 6 ของการวิจัย ระบุว่า
พวกเขาทำความสะอาดแทบจะทันทีที่พบ "ขี้นก" บนรถ หรือคิดเป็น 17 % 
ในขณะที่อีก 20  %  เปิดเผยว่า รอประมาณ 2-3 วัน จึงทำความสะอาด
คราบดังกล่าว แต่ที่น่าตกใจ คือกว่า 55 % ระบุว่า พวกเขาจะทำความสะอาด
อีกทีเมื่อเข้ารับบริการล้างรถอีกครั้ง

               
              อย่างไรก็ดี เมื่อพูดถึงปัจจัยที่ทำให้นกเหล่านี้เห็นว่ารถของคุณเป็นห้องส้วม
ก็คือเรื่องของสีตัวรถนั่นเอง เพราะจากการศึกษาวิจัยพบว่า สีที่นกชอบเบ่งอึมารดบนรถ
มากที่สุด คือ 


1.สีแดงมากถึง 18 % 


2.สีน้ำเงิน 14% 

3.สีดำ  11 % 

4.สีขาว 7%  

5.สีเทา 3 % 

6.ส่วนสีที่นกชอบขี้น้องที่สุดคือสีเขียวมีเพียง 1 %  


                นับเป็นรายงานที่น่าสนใจ และครั้งต่อไป ถ้าคุณเบื่อและต้องการจะ
ซื้อรถคันใหม่ขึ้นมา
ก็สามารถใช้ข้อมูลเกี่ยวกับการขี้ของนกมาประกอบการตัดสินใจก็ได้นะ  
แต่ถ้าจะติดสติ๊กเกอร์แก้เคล็ด  คาดว่า คงจะไม่ได้ผลนะ ..

ในปัจจุบัน อุปกรณ์เสริมในรถยนต์อะไรที่ไม่จำเป็นแล้ว


อุปกรณ์เสริมบางอย่างที่ไม่จำเป็นสำหรับรถยนต์อีกต่อไปและจะช่วยลดราคารถยนต์ใหม่ได้โดยเฉพาะในสหรัฐ นั่นคือ

1.ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อหรือ 4WD – เนื่องจากโดยปกติเรามีโอกาสใช้ 4WD น้อยมาก หรืออาจไม่เคยใช้เลย จึงควรใช้ระบบ 2WD มากกว่าเพื่อลดราคารถยนต์และลดค่าน้ำมัน

 
2.ระบบนำทาง GPS แบบติดรถยนต์ – เนื่องจากปัจจุบันโทรศัพท์มือถือแบบ Smart Phone ต่างมีระบบแผนที่ GPS ซึ่งสะดวกและราคาถูกกว่ามาก


3.เครื่องเล่น CD โดยเฉพาะแบบเปลี่ยนแผ่นอัตโนมัติ – เนื่องจากล้าสมัย เทอะทะ และไม่จำเป็น เพราะรถยนต์รุ่นใหม่ๆต่างมีระบบเล่นเพลง MP3 เชื่อมต่อกับ USB หรือ Bluetooth ที่สะดวกกว่า

4.ระบบ TV หรือ DVD ติดรถยนต์ – เคยเป็นที่นิยมสำหรับพ่อแม่อเมริกันที่ต้องการให้ลูกอยู่นิ่งๆบนรถ แต่ปัจจุบันมีทั้ง iPad และ Tablet หลายรุ่น ซึ่งราคาถูกกว่าและสะดวกกว่า

 
5.เบาะหนัง – รถยนต์หรูรุ่นใหม่ของ Lexus หรือ Mercedes-Benz  เริ่มไม่ใช้เบาะหนังแล้ว แต่ใช้วัสดุสังเคราะห์แบบใหม่ซึ่งคล้ายหนังแต่ราคาถูกกว่า
 



จริงด้วยนะประหยัดได้หลายบาทอยู่ แล้วก็ใช้ของที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าด้วย  น่าเลียนแบบนะ


7 ก.ค. 2555

จระเข้ยักษ์ของฟิลิปปินส์ ใหญ่ที่สุดในโลก


เมื่อวันที่ 1  กรกฏาคม 2555 สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ว่า
 สถาบันบันทึกสถิติโลก กินเนส ประกาศให้การรับรอง “โลล็อง” จระเข้น้ำจืดขนาดยักษ์
ของฟิลิปปินส์ เป็นจระเข้ที่ถูกจับได้ที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลกตัวใหม่
จากขนาดความยาวของลำตัว 6.17 เมตร (20.24 ฟุต) น้ำหนักกว่า 1 ตัน โดยเจ้าของสถิติก่อนหน้านี้

คือ “แคสเซียส” จระเข้น้ำจืดของออสเตรเลีย ซึ่งมีขนาดความยาวลำตัว 17 ฟุต


โลล็องถูกชาวบ้านและลูกจ้างฟาร์มจระเข้ท้องถิ่น จับได้เมื่อเดือน พ.ย. 2554 จากบึงใหญ่
ในเมืองบูนาวาน จังหวัดอากูซานเดล ซูร์ ทางใต้ของฟิลิปปินส์ หลังการตามล่าจระเข้
ที่เชื่อว่าสังหารชาวบ้านหลายรายก่อนหน้านั้น  โลล็องถูกเลี้ยงไว้ในบ่อเลี้ยง 
ที่มีสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด ในเมืองบูนาวาน
นับตั้งแต่นั้น ข่าวการประกาศรับรองสถิติโลกของกินเนส สร้างความดีใจแก่ประชาชน 37,000 คน
ของเมืองบูนาวานเป็นอย่างยิ่ง และมีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริก
 โดยมี นายเอ็ดวิน ค็อกซ์ อีลอร์เด นายกเทศมนตรีเป็นแม่งาน.



อยากรู้จังว่า ตัวใหญ่ขนาดนี้ เจ้าโลล็อง มีอายุสักเท่าไรนะ ใครรู้ช่วยตอบด้วย

5 ก.ค. 2555

พบหลุมอุกาบาตที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในโลก ที่กรีนแลนด์

Douglas Main จาก OurAmazingPlanet ได้แจ้งว่า Adam Garde ซึ่งเป็นนักวิจัยชาวเดนมาร์กกล่าวว่าทีมวิจัยได้พบ หลุมอุกกาบาตที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลกที่เกาะกรีนแลนด์ มีความกว้างถึง 100 กิโลเมตร คาดว่าเกิดจากการชนของดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่เมื่อ 3,000 ล้านปีก่อน นับเป็นหลุมอุกกาบาตที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยพบก่อนหน้านี้ หลุมนี้มีอายุ 2,000 ล้านปี โอกาสที่จะพบหลุมอุกกาบาตอื่นที่เก่าแก่กว่านี้นับว่ามีน้อยมาก



ดร.เอียน แม็กโดนัลด์ แห่งคณะธรณีวิทยาและมหาสมุทร มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ในอังกฤษ บอกว่า นับเป็นโอกาสดีที่นักวิทยาศาสตร์จะได้ศึกษาผลของการชนย้อนเวลาไปกว่าที่เคยศึกษาร่วม 1,000 ล้านปี 
เมื่อดูจากร่องรอยของหินที่เปลี่ยนรูปร่างไป คาดว่าดาวเคราะห์น้อยได้ตกลงในทะเล


บอริส อิวานอฟ แห่งสถาบันวิทยาการดาวเคราะห์ ในกรุงมอสโก ได้สร้างแบบจำลองการคำนวณ พบว่า ดาวตกดวงนี้อาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 30 กิโลเมตร 


ถ้าบังเอิญมันพุ่งชนดวงจันทร์แทนที่จะเป็นโลก ก็จะเกิดหลุมขนาดกว้างกว่า 1,000 กม. และสามารถมองเห็นได้จากโลกเลยทีเดียว 

น้องหมาขี้เหร่ที่สุดของ แห่งปี 2012

 เมื่อ 23 มิ.ย.55 ที่ผ่านมา สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สุนัขพันธุ์ไชนีส เครสเต็ด ชื่อมักลี่ อายุ 8 ปี จากเกาะอังกฤษ ชนะการประกวดสุนัขขี้เหร่ที่สุดในโลก ที่เมืองเพตาลูมา รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา คว้าเงินรางวัล 30,000 บาท และคุ้กกี้สำหรับสุนัขกินได้ตลอดปี หลังชนะสุนัขที่เข้าแข่งขันอีก 28 ตัว ด้านนายเบฟ นิโคลสัน เจ้านายของมักลี่ กล่าวว่า ดีใจจนพูดไม่ถูกเลยทีเดียว โดยมักลี่เคยคว้าแชมป์สุนัขขี้เหร่ในอังกฤษมาแล้วเมื่อปี 2548


 มักลี่ได้สวมชุดธงชาติอังกฤษ เดินโชว์ตัวต่อหน้าคณะกรรมการ พร้อมกับใส่หมวกทรงสูง และผูกหูกระต่าย
มันเป็นสุนัขต่างชาติตัวเดียวที่เข้าแข่งขันที่เมืองเปตาลูมาทางตอนเหนือของนครซานฟรานซิสโก 
ผู้เป็นเจ้าของ เบฟ นิโคลสัน วัย 49 บอกว่า ดีใจกับชัยชนะของเจ้ามักลี
"ฉันเลี้ยงมันมาตั้งแต่อายุแค่ 8 สัปดาห์ ท่าทางมันคล้ายจิ๊กโก๋ ฉันก็เลยตั้งชื่อมันว่ามักลี แต่สำหรับฉันแล้ว มันน่ารักออกมาจากข้างใน"

2 ก.ค. 2555

ข้อแนะนำเพื่อฝึกการพูดเพราะๆ

คำพูดเป็นสิ่งที่แสดงถึงวิถีชีวิตและลักษณะของคนๆ นั้น

บอก ถึงสิ่งที่เขาสะสมบ่มเพาะในจิตใจของเขามายาวนาน ใครเป็นคนอย่างไรก็พูดอย่าง นั้น เช่น คนชอบการพนัน ก็จะมองอะไรเป็นการพนัน และเรื่องการพนันอยู่บ่อยๆ  บางคนโชคดี มีพ่อแม่ดี พูดเพราะ ก็จะได้พันธุกรรมดี หรือตัวอย่างการพูดดีๆ จากพ่อแม่ ทำให้พูดเพราะ บางคนต้องมาฝึกการพูดเอาเองตอนโตแล้ว จงรับรู้ไว้ด้วยว่าลิ้นของคนเป็นสิ่งที่อยู่ไม่สุข ไม่เชื่อง ลิ้นจะทำให้คนเป็นคนผิด คนชั่ว หรือเป็นคนดีก็ได้ จึงต้องคอยระวังการใช้ปาก ใช้ลิ้นให้มาก 

ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำเพื่อฝึกการพูดเพราะๆ เช่น


1. พูดแต่สิ่งที่ดีๆ เกี่ยวกับคนที่เราคุยด้วย สิ่งไม่ดีของเขาห้ามพูด
2. หาเหตุอวยพร หรือให้พรเขาในระหว่างการพูด โดยอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เขาหรือเรานับถือเป็นผู้อวยพรเขา
3. ห้ามพูดคำหยาบเด็ดขาด คำเดียวก็ไม่ได้! หลายๆ คนชอบพูดคำหยาบกับคนสนิท ซึ่งไม่ถูกต้องเลย ถ้าพูดแล้วจะเคยปาก เอาคำหยาบออกได้ยาก ฉะนั้นไม่พูดคำหยาบเลยจะดีกว่า
4. ลองนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ ขอให้มาอยู่ในตัวเรา เพื่อเราจะได้ไม่พูดหยาบและพูดเพราะมากขึ้น บางคนที่เป็นชาวคริสต์ เขาจะนึกถึงพระเจ้าเสมอๆ เวลาพูด ทำให้พูดหยาบน้อยลง โดยขอให้พระเจ้าช่วยเขา ชาวพุทธอาจนึกถึงพระพุทธก็ได้
5. จงเรียกชื่อคนด้วยเสียงที่สุภาพ นุ่มนวล และให้ใช้คำหน้าว่า "คุณ" ให้เคยปาก อย่าเรียกใครว่า "นี่ๆ..." หลายคนจิตใจดี แต่พูดไม่เพราะ เสียงห้วนๆ จึงไม่มีคนชอบ
6. ระวังอย่าให้ลูกเล็กๆ พูดคำหยาบ เพราะเขาจะเลียนแบบอย่างจากคนเลี้ยง หรือจากลูกจ้างในบ้าน
7. อย่าลืมหาโอกาสเวลาพูดกับใครก็ตาม ให้บอกว่า "เขาน่ารักมาก" แล้วคนๆ นั้นจะเป็นคนน่ารักมากขึ้นๆ ทั้งที่ในขณะนั้นเขาอาจเป็นคนไม่น่ารักก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน แฟน หรือลูกหลาน หรือพ่อแม่
 สามีบางคนพูดหยาบ ชอบด่าภรรยา แต่พอภรรยาพูดชมว่า สามีเป็นคนน่ารักบ่อยๆ เข้า สามีเลยด่าไม่ออก หยุดด่าไปเลย หันมาดีกับภรรยามากขึ้น
8. เมื่อใครพูดไม่ดีกับเรา อย่าตอบเขาด้วยคำหยาบ แต่จงพูดดีๆ เพราะๆ ให้ตรงข้ามกับคำพูดของเขา และจงหาโอกาสอวยพรเขาด้วย เขาจะชะงักคำพูดเหมือนตกใจ และเลิกพูดหยาบกับเรา


จง เป็นคนเด่นด้วยการตั้งใจพูดดีๆ กันเถิด ไม่ต้องลงทุน ไม่เปลืองเงิน และไม่ยากเลย จงตั้งใจเชื่อเถิดว่าคุณทำได้ คุณพูดได้ แล้วคุณจะได้เห็นในสิ่งที่คุณเชื่อ คือความเด่นที่คุณอยากได้ จงเชื่อเถิดว่า ความเด่นอยู่แค่มือเอื้อมจริงๆ
ขอบคุณ กุลสตรีและ http://variety.teenee.com

เมื่อมีรักในที่ทำงาน ควรปฏิบัติตัวอย่างไรดี

การปฎิบัติตัวเมื่อมีรักในที่ทำงาน นอกจากนั้นยังสามารถนำไปใช้สืบเนื่องต่อไปหลังจากที่เลิกรากัน และต้องทนเจอหน้ากันทุกเมื่อเชื่อวันอีกด้วย  มีทั้งหมด 14 ข้อค่ะ ลองนำไปใช้ดูนะคะ

1.อย่าไปทำงานทุกวันเพียงเพราะอยากเห็นหน้าเขา
หรือได้ใช้เวลาอยู่กับเขา หรือได้แสดงออกว่าปิ๊งเขา ควรไปทำงานด้วยความคิดว่า วันนี้ฉันจะทำงานหนักเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของบริษัท พยายามหักอกหักใจ ทำตัวยุ่งกับงานเข้าไว้ อย่ามัวแต่นั่งฝันกลางวันถึงเขาคนนั้น หรือเอาแต่คิดหาเรื่องเข้าไปพูดคุยหรือแค่เห็นหน้าเขาก็ยังดี ถ้าเขามาหยุดแวะที่โต๊ะของเรา ทำตัวดีๆ คุยทักทายกับเขาแค่ 5-10 นาทีก็พอแล้ว ตัดบทสนทนาด้วยการหยิบเอกสารขึ้นมาแล้วพูดว่า เราต้องกลับไปทำงานแล้ว!


2.ทำงานหนักแต่อย่าเว่อร์ถึงขนาดทรุดโทรมไม่ใส่ใจสารรูปตัวเอง อย่าหมกตัวอยู่ในที่ทำงานมากจนไม่มีเวลาปรุงแต่งสังขาร เสื้อผ้าเปรอะรอยกาแฟเป็นดวง รองเท้าขะมุกขะมอม คิ้วรกรุงรังไม่ได้รูปทรง ควรสวมเสื้อผ้ารองเท้าให้ดูทันสมัยแต่ไม่ล้ำสมัย เรียกว่าให้ดูดีที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่าสวมถุงน่องรันเป็นอันขาด ควรมีถุงน่องสำรองติดไว้ในลิ้นชักโต๊ะเสมอ รองเท้าต้องขัดให้ขึ้นเงา แต่งหน้าพรมน้ำหอมในปริมาณพอดีอย่าให้มากเกินงาม จำไว้ว่าเราเป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนใคร เราใส่ใจรูปร่างหน้าตาของตัวเอง สิ่งเหล่านี้ทำเพื่อตัวเองและผลพลอยได้คือ เรามีความมั่นใจในตัวเองจนสามารถเดินเข้าหาชายหนุ่มคนนั้นได้อย่างสบายใจไง ละ


3.อย่าเผลอตกปากรับนัดเขาเร็วเกินไป ถ้าเขาหยุดแวะที่โต๊ะเราแล้วเอ่ยชวนไปกินข้าวกลางวันหรือชวนไปดื่มหลังเลิก งาน บอกไปว่า อยากไปเหมือนกันแต่ไม่ว่างถึงแม้ความจริงจะว่างไปจนถึงอาทิตย์หน้าก็เถอะ เพราะการชวนแบบนี้เหมือนหาคนแก้ขัดไปงั้นเอง ถ้าเรายอมตกลง ความสัมพันธ์จะออกมาในรูปแบบที่ธรรมด๊าธรรมดามาก เขาจะไม่คิดว่าเราเป็นคนพิเศษที่ต้องวางแผนการเดทล่วงหน้าให้ออกมาน่าประทับ ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่วางความสัมพันธ์ไว้ในฐานะเพื่อนร่วมงาน ผู้ชายมักใช้เวลาหลายปีกว่าจะขอฝ่ายหญิงแต่งงาน มีตัวอย่างมาแล้วกับผู้หญิงสวยๆหลายรายที่ตกปากรับคำชวนไปดื่มหลังเลิกงาน ทุกหกโมงเย็นฝ่ายชายจะแวะมาชวนไปดื่ม แต่ถ้าเป็นเดทคืนวันเสาร์ เขาจะไม่เอ่ยชวนจนกว่าจะถึงวันศุกร์หรือวันเสาร์ เพราะยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะต้องไปทำอะไรหรือเปล่า ฝ่ายหญิงก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้เพราะไม่รู้จะทำอะไรที่มันดีกว่านี้ ในที่สุดหลังจากคบกันเรื่อยๆเปื่อยๆอย่างนี้หกปีฝ่ายชายก็ขอแต่งงาน เธอมีชีวิตแต่งงานที่แย่มากเพราะรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นฝ่ายถูกเอา เปรียบ

การทำงานในที่เดียวกันไม่ได้หมายความว่า เขาสามารถพบหน้าเราได้ทุกเวลาที่ต้องการ อย่ายอมเขาง่ายๆ เขาต้องเตรียมตัวล่วงหน้าถ้าจะขอนัดเรา เพราะเรางานยุ่งมากๆ! ถ้าทำงานอยู่ด้วยกันชนิดโต๊ะติดกันควรปลีกตัวไปกินอาหารกลางวันเองบ้างหรือ กับคนอื่นบ้าง และอย่าบอกว่าไปกินข้าวที่ไหน เรากับเขาทำงานด้วยกันแล้วยังเดทกันอีก แทบจะรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว ต้องทำตัวลึกลับเหลืออะไรไว้ให้เขาฉงนสงสัยบ้างสิ


4.สงบปากสงบคำเอาไว้ อย่าพูดเรื่องรักให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นฟัง ถ้ามีคนถามว่าสุดสัปดาห์นี้จะไปเที่ยวที่ไหน อย่าเผลอหลุดปากถึงหนุ่มเพื่อนร่วมงานที่จะไปด้วยกัน ตอบไปแค่ว่าจะไปทำอะไรเท่านั้นพอ อย่าให้อาชีพการงานกระทบกระเทือนเพราะการตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเม้าท์กันทั่ว ออฟฟิศ แถมยังส่งผลถึงความสัมพันธ์ของเรากับเขาด้วย ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากเดทกับผู้หญิงปากสว่างหรอกค่ะ ผู้ชายชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่า ถ้าคนในที่ทำงานจะรู้เรื่องนี้ ก็ให้มาจากปากของเขาเองดีกว่า ในทางกลับกันก็อย่าเอาเรื่องตัวเองไปพูดให้ชายหนุ่มฟัง เราจะไปพบลูกค้าที่ไหนกับใครมีประชุมเมื่อไร ถ้าเขาอยากรู้เขาจะถามเอง

5.ถ้ามีเหตุต้องพูดเรื่องงานกับหนุ่มหวานใจก็จงพูดไปเถอะ พยายามทำตัวให้เป็นมืออาชีพ ถ้ามีโทรศัพท์ก็โทรกลับทันทีต้องเป็นเรื่องงานเท่านั้นนะ พยายามมองความตั้งอกตั้งใจของตัวเองให้ออกว่า มีเหตุจำเป็นต้องติดต่อกับเขาหรือเปล่า หรือว่าแค่หาข้ออ้างไปคุยกับเขา ซึ่งหากเป็นเรื่องงาน บทสนทนาต้องสั้นกระชับได้ใจความและเราควรเป็นฝ่ายจบการสนทนาก่อน ถ้าเป็นไปได้ฝากข้อความไว้ที่เลขาหรือกล่องรับข้อความของเขาดีกว่า ข้อความที่ฝากไว้ก็ควรใช้สำนวนภาษาเป็นการเป็นงาน อย่าทิ้งข้อความหวานแหววแต๋วจ๋าแปะไว้ที่โต๊ะของเขา เพราะถ้าเขาอยากคุยกับเราเขาจะมาหาเราเอง


6.เขาสามารถส่งอีเมล์หาเราได้มากเท่าที่ต้องการ แต่อย่าตอบอีเมล์กลับทุกครั้งนอกจากว่าเป็นเรื่องงาน หรือถ้าเป็นอีเมล์ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องงาน เราสามารถตอบเขาได้หนึ่งครั้งต่ออีเมล์ของเขาสี่ครั้ง อัตรานี้จะทำให้ดูไม่น่าเกลียด จำไว้ว่าอีเมล์ของเราต้องกระชับตรงไปตรงมาในเรื่องงานเท่านั้น เรื่องนี้สำคัญมากเพราะเราไม่รู้ว่าใครจะแอบเข้ามาอ่านอีเมล์ของเรา บางทีอาจเป็นระดับผู้บริหารที่คอยสอดส่องพนักงานบริษัทก็ได้ เก็บเรื่องรักไว้นอกจอ เอาไว้ไปออกฤทธิ์คืนวันศุกร์เสาร์ดีกว่านะ


7.อย่าเที่ยวสอดแนมเขาไปทั่วออฟฟิศ อันที่จริงไม่ควรไปอยู่ใกล้ห้องทำงานของเขาด้วยซ้ำ อย่าไปถามเลขาของเขาว่า มีใครโทรหาเขาบ้าง หรือเขาออกไปกินข้าวกลางวันกับใครที่ไหน มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเราเลย ดีไม่ดีเลขาอาจไปบอกเขา เขาเกิดรำคาญขึ้นมาละแย่เลย


8.อย่าใช้ที่ทำงานเป็นศาลเจ้าบูชารัก อย่าเอารูปถ่ายของเขาใส่กรอบตั้งไว้บนโต๊ะ หรือเก็บตุ๊กตาหมีที่เขาให้วันวาเลนไทน์ไว้ในที่ทำงาน ดูไม่เป็นมือโปรเอาเสียเลย โต๊ะทำงานหรือห้องทำงานควรดูเนี๊ยบสะอาดหมดจด ความเนี๊ยบนี่ละเซ็กซี่สุดๆ ไม่มีใครอยากเดทกับผู้หญิงสกปรกโสมมที่มีโต๊ะรกเป็นรังหนู อย่ากองเอกสารไว้บนโต๊ะเป็นตั้งๆ อย่าเอาขนมที่กินเหลือใส่ไว้ในลิ้นชักโต๊ะ อย่าเก็บของสะสมหรือแขวนอะไรรุงรังไว้ข้างฝา อย่าตกแต่งห้องทำงานเหมือนเป็นหอพักนักศึกษา อย่าทำตัวคิกคุน่ารักอาโนเนะราวเด็กไม่รู้จักโต ทำตัวให้เป็นสาวนักทำงานมืออาชีพเข้าท่ากว่าเยอะ


9.อย่าจูบหรือเดินจูงมือกันในที่ทำงาน นอกจากจะไม่เป็นมือโปรแล้วภาพพจน์ยังดูเสียหายอย่างหนัก เขาต้องชวนเราไปออกเดทข้างนอกจึงจะมีสิทธิ์ทำกุ๊กกิ๊กกันแบบนี้ได้ อย่ายอมเข้าโรงแรมกับเขาตอนช่วงพักอาหารกลางวันเด็ดขาด เพราะนี่ไม่ใช่การเดทและเขาจะไม่ยกย่องให้เกียรติเรา ยิ่งเวลาเราออกจากโรงแรมกลับเข้ามาทำงาน จะดูโทรมๆยับยู่ยี่ไปเลย ถ้าไม่อยากตกเป็นขี้ปากชาวบ้านจงอย่าทำเด็ดขาด ถ้าอยากตระกองกอดเราไว้ในอ้อมแขน ก็ควรชวนเชิญออกเดทตอนช่วงสุดสัปดาห์ให้เป็นงานเป็นการมากกว่านี้นะจ้ะ

10.อย่าหลับนอนกับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานนอกเสียจากว่าเป็นแฟนกันจริงๆจังๆแล้ว นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กส์ชั่วครั้งชั่วคราวแต่เกี่ยวถึงอาชีพการงานที่ตามมา ในภายหลังด้วย กรณีเช่นนี้ส่วนมากจะเป็นการเดินทางไปทำงานด้วยกันในต่างจังหวัดหรือต่าง ประเทศ เป็นเรื่องง่ายที่จะมีเซ็กส์กันเพราะพักอยู่โรงแรมเดียวกัน ถึงแม้เราจะคิดว่าเดินทางมาไกลขนาดนี้คงไม่มีใครมารู้มาเห็น แต่เมื่อกลับบ้าน กลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง เราจะเสียใจที่หลวมตัวไปมีอะไรกับเขา เพราะเขาจะแสดงท่าทีไม่สนใจกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น ดีไม่ดีอาจทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนที่เสียความรู้สึกก็คือเราซึ่งต้องกลับทำงานร่วมกับเขาทุกวัน


11.อย่าอ้อยอิ่งอยู่ในออฟฟิศหลังเลิกงานแล้ว หรือออกไปดริ๊งค์ช่วงแฮปปี้อาวร์หลังเลิกงาน ถ้าไม่อยากให้คนมองภาพเราเป็นสาวนักปาร์ตี้ ที่สำคัญอย่าเมาในที่ทำงานไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงบริษัทขึ้นปีใหม่หรืออะไร ทั้งนั้น เพราะเมื่อเมาแล้วก็ยากที่จะหักห้ามใจไม่ทำอะไรตามความรู้สึกตัวเอง...เสีย ค่ะเสียแน่งานนี้

12.ถ้าเรากับเขาทำงานบริษัทเดียวกันแต่ต่างสาขาหรือต่างเมืองกัน ควรรอให้เขาแวะมาหาเราสักสามครั้งก่อนแล้วค่อยแวะไปเยี่ยมเขาบ้าง ถ้าคุณถูกส่งไปทำงานที่เมืองของเขา อย่าไปเจ้ากี้เจ้าการนัดแนะให้เขามาเจอกัน เขาต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเสนอตัวนัดแนะเจอกับเรา ในกรณีที่เป็นแฟนกันจริงจังแล้ว อย่าเพิ่งทำเรื่องขอย้ายตามไปทำงานที่เดียวกับเขา หรือลาออกไปตั้งรกรากอยู่เมืองเดียวกับเขาจนกว่าจะมีการตกลงเป็นมั่นเป็น เหมาะว่าจะแต่งงานกัน


13.อย่าทนทำงานในบริษัทเพียงเพราะเขาทำงานอยู่ด้วย ถ้ามีความสุขกับงานก็ทำไป แต่ถ้าสนใจจะเปลี่ยนสายงานก็เชิญเลย ไล่ตามความฝันของเรา อย่าฉุดรั้งตัวเองไว้เพื่อผู้ชายคนหนึ่ง ถ้าลาออกไปเพื่องานใหม่ที่ดีกว่าก็ไปเลย การตัดสินใจทำสิ่งดีๆให้กับตัวเอง เป็นการแสดงให้เขาเห็นว่า เราเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งอาจจะทำให้เขาคิดถึงเรามาก และอาจขอแต่งงานเร็วขึ้นเพราะต่อไปจะไม่ได้เห็นหน้าเราทุกวันนะสิ

14.อย่าชวนเขาเดินทางไปกลับด้วยกัน เพียงเพราะบ้านอยู่ใกล้กันและทำงานที่เดียวกัน คนที่เอ่ยชวนควรเป็นเขาและเราควรตอบปฏิเสธ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ฉวยโอกาสเอาเปรียบเราและเรายังสามารถทำตัวเป็นสาวลึกลับ ได้บ้างบางเวลา 



From  http://variety.teenee.com